วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Liverpool ที่รัก 16: ส่งจดหมาย และ Merseyside Maritime Museum

 หลังจากที่เมื่อวันก่อน (พูดเหมือนหลายวัน จริงๆก็คือเมื่อวาน) ผมได้เขียนจดหมายซะยาวเหยียด และไปซิวเอาโปสการ์ดสวยๆมาจากสถานีรถไฟแล้ว วันนี้ (2-10-2014) ผมก็เลยต้องหาว่าจะส่งกลับไทยได้ยังไง ผมได้ข้อมูลแว่วๆมาว่ามีซองจดหมายขายอยู่ที่ร้านในใจกลางเมืองแถวๆโซนที่เรียกว่า ลิเวอร์พูลวัน (Liverpool One) วันนี้เป็นอีกวันที่ว่าง (?) ผมเลยสะพายกระเป๋าแล้วเดินตะลุยสำรวจเมืองอีกครั้ง ก็เดินมาตามทางที่เคยเดิน ผ่านมหาลัยที่ยังไม่ได้เข้าไป เดินดิ่งมาทาง Radio Tower ที่เป็นเหมือนเครื่องบอกทิศสำหรับคนมาใหม่ (ฮ่า) เดินลุยมาตามทาง เราก็จะเห็นว่ามันเป็นแหล่งช็อปปิ้งใจกลางเมืองมากขึ้น มีร้านค้าหลากหลายร้านตั้งอยู่เรียงราย 2 ข้างทาง บางร้านก็เหมือนเป็นแบบขาจร ที่พอตกเย็นก็จะปิดแล้วมีรถลากออกไปอะไรยังงี้ หรือบางทีก็เป็นรถเลย อธิบายไม่ถูก ดูรูปเอาแล้วกัน ฮ่า
ร้านขายต้นไม้ดอกไม้ มีดอกไม้แปลกๆเยอะเลย
แต่ละกระถางนี่ ราคาเอาเรื่องเหมือนกันนะ
มีต้นกระบองเพชรขายเหมือนที่ไทยเลย แต่แพงกว่า
มีอันที่แปลกคือทำไมต้องติดตาปลอมกับต้นกระบองเพชรบางต้นด้วย ฮ่าฮ่า
ผมเดินมาถึงร้านเครื่องเขียน ชั้นล่างขายหนังสือ ส่วนเครื่องเขียนจะมีขายที่ชั้นบน และมีไปรษณีย์อยู่ชั้นบนด้วย ผมเดินดูรอบๆก็ได้ซองจดหมายมา 3 ซอง จากนั้นก็เอาจดหมายและโปสการ์ดใส่ซอง เตรียมเอาลิ้นเลียปิดซองก็เหลือบไปเห็นว่าเค้ามีกาวให้อยู่ (อดเลย อิอิ) แล้วก็ต้องไปต่อคิว คิวยาวพอสมควร แต่เค้าก็มีหลายช่องให้บริการอยู่ พอถึงคิวปุ๊บผมก็เดินเข้าไป พนักงานก็ถามว่าจะส่งอะไร ผมก็บอกว่าจะส่งจดหมายไปประเทศไทย เค้าก็จะเอาซองจดหมายไปชั่งน้ำหนัก แล้วก็ติดแสตมป์ให้ ปั๊มๆตรา แล้วก็เรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าโดนไป 2.15 ปอนด์ (ประมาณ 100 บาท) เสร็จปุ๊บโยนจดหมายตุ้บลงถุงใบใหญ่ๆข้างๆตัวแก ผมถามเค้าว่าประมาณกี่วันจะถึงไทย เค้าก็บอกว่าอาจจะสัก 2 สัปดาห์ไม่เกินนี้ ผมก็โอเค แล้วก็เซย์แต๊งกิ้วกู๊ดบาย ผมก็ได้แต่หวังว่าจดหมายจะยังคงสบายดีจนกว่าจะถึงมือแม่ผมนะ (คือไว้ใจระบบไปรษณีย์ของอังกฤษ แต่พอเข้าไทยปุ๊บ กลัว บอกเลย ฮ่า )

สภาพบริเวณ Liverpool One คนพลุกพล่าน
 Shop ของลิเวอร์พูลตั้งอยู่ตรงนี้อีกที่นึง
หลังจากจบสิ้นภารกิจส่งจดหมาย ก็ได้เวลาเดินเที่ยวต่อ (ฮ่า) วันก่อนนู้น (อีกละ) ผมเห็นว่าที่แถวๆ Albert Dock มีหลายๆอย่างน่าสนใจอยู่ ก็น่าจะไปเดินดูอีกรอบว่ามันมีอะไรบ้าง  โดยตอนนี้ผมอยู่ที่ลิเวอร์พูลวัน (ทับศัพท์เลยนะ จะแปลว่าหนึ่งลิเวอร์พูลก็ดูตลกไปหน่อย -_-) ระหว่างเดินไปก็สังเกตเห็นว่าร้านค้าแถวๆนี้คือหรูหรามาก เป็นแบรนด์ดังๆทังนั้น เหมาะสำหรับสาวๆขาช็อปทั้งหลาย รับรองเดินแถวนี้ครึ่งวันก็หมดครึ่งแสนชัวร์ ฮ่าฮ่า
ร้านค้าแบรนด์ดังกระจุกตัวอยู่แถวๆนี้เพียบไปหมด
เดินดุ่ยๆออกมาสักพักก็เจอทางเดินที่มุ่งไปสู่ Albert Dock วันนี้แดดแรง แต่หนาววว ระหว่างทางก็เจอคนร้องเพลงเล่นดนตรีเปิดหมวกบ้างอะไรบ้าง ก็ดูแปลกหูแปลกตาดี  

พ่อหนุ่มคนนี้ดีดกีตาร์แล้วก็ร้องเพลงเสียงดังทีเดียว
อันนี้ผมขึ้นบันไดไปชั้นบนแล้วแอบถ่ายลงมา อิอิ
ตึกรูปร่างประหลาด ดูคล้าย ๆ เรือ กระจกใสแจ๋ว
ระหว่างทางเดิน มองเห็น Albert Dock ไกลๆนู่น
เวลาข้ามถนนก็ต้องรอสัญญาณไฟกันก่อน แล้วต้องข้ามในโซนที่เค้ากำหนดด้วยนะ
สองหนุ่มนักดนตรี อันนี้เสียงดังมากบอกเลย ได้ยินไกลมาก
ให้ตังค์พี่แกก่อน แล้วขอถ่ายรูป ฮ่า
ผมเดินลัดเลาะมาทางฝั่งบ้านที่มีเสาใหญ่ๆงอกออกมาเหมือนปล่องไฟ (แต่ไม่ใช่มั้ง) เขียนว่า The Pump House เข้าไปดูใกล้ๆก็เหมือนเป็นร้านอาหาร ดูน่ารักดี เดินมาอีกนิดก็จะพบกับจุดหมายแรกของผมในวันนี้ นั่นคือ Merseyside Maritime Museum 
Albert Dock ในยามแสงแดดส่องสุดแรง วงๆไกลๆนู่นเค้าเรียกกันว่า  echo wheel of liverpool
( จะได้สัมผัสใกล้ชิดเร็วๆนี้ :) )
The Pump House
นักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่
ด้านหน้า The Pump House
ตาลุงนี่ถ่ายอะไร ?
ดูจากข้างหน้าก็พอจะรู้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับอะไรเรือๆ การเดินทางในสมัยก่อน หรืออะไรทำนองนี้แน่ๆ 

ด้านหน้ามิวเซียม
สมอเรือใหญ่ไปมั้ย ?
โดยในเว็บของพิพิธภัณฑ์นี้ได้จำกัดความตัวเองเอาไว้ว่า ( Eng เลยละกัน เราเข้า AEC กันแล้ว (จริงๆคือขี้เกียจแปล ฮ่า))

...Merseyside Maritime Museum is in the Albert Dock, Liverpool. It contains a variety of objects associated with the social and commercial history of the port of Liverpool. Highlights include ship models, maritime paintings, colourful posters from the golden age of liners and even some full sized vessels. There is also the major current exhibition Titanic and Liverpool: the untold story, which tells the story of Liverpool's links to the ill-fated liner. The Museum also houses the International Slavery Museum (on the third floor) as well as the Border Force's national museum: Seized! The Border and Customs uncovered (in the basement).... http://www.liverpoolmuseums.org.uk/maritime/about/

สรุปก็ ในมิวเซียมนี้จัดแสดงเรื่องหลักๆอยู่ 3 อย่าง คือ การค้าทาสและการอพยพ การค้าขายทางเรือ และเรือไททานิค คืออย่างที่เคยเกริ่น (รึยัง) ว่าเมืองลิเวอร์พูลนี้ ในสมัยก่อนนั้น เป็นท่าเรือที่สำคัญมากของเครือจักรภพ ทุกสินค้าในโลกนี้จะมารวมกันอยู่ที่นี่ รวมถึงการค้าทาสจากแอ๊ฟฟริกา และในผมก็เพิ่งรู้จากที่นี่ว่า เรือไททานิคก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเมืองลิเวอร์พูลด้วย (กล่าวไปแล้วในตอนแรกๆ)

ในการมาครั้งแรกนี้ ด้วยความที่ไม่รู้ และไม่กล้าถาม ก็เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูป กลัวโดนจับแล้วเค้าพังกล้องอะไรทำนองนั้น (ฮ่า) ก็เลยมีรูปน้อยไปนิด อีกอย่าง ก็ไม่รู้จะถ่ายอะไร เพราะอยากจะอ่านจะดูมากกว่าหยิบกล้องเข้าๆออกๆ ฮ่าๆ แต่ก็ถ่ายมาบ้างนะ พวกของหายากหรือของเก่าอะไรแบบนี้
หุ่นแกะสลัก รู้สึกจะเป็นวัฒนธรรมแอ๊ฟฟริกา
อันนี้เลย เป็นรูปของทาสในสมัยก่อน ทุกคนถูกจับมาเขียนตัวอักษร แล้วยืนเรียงเป็นคำว่า Merry X' Mas
โหดร้ายจังเลย
รูปทาสถูกจับมายืนเรียงๆกันเป็นประโยค
อันนี้เป็นรูปของคนผิวสี ที่ได้ดิบได้ดี ซึ่งบ่งบอกว่า ไม่ว่าคุณจะผิวสีอะไร คุณก็เป็นคนที่มีคุณค่าต่อโลกนี้ได้ไม่แพ้คนผิวขาว เจ๋งเลย
รูปคนสำคัญต่างๆที่มีผิวสี มีโอบาม่าด้วย
ส่วนอันนี้ พีคมาก เป็นคำพูดเสียดสีชาวอังกฤษ แปลเป็นไทยแบบพันธมิตรแปลก็จะได้ว่า พวกปีศาจชั่วร้ายคือพวกคนอังกฤษ ซึ่งพวกมันจะบังคับให้ทุกอย่างทำงาน ทั้งนิโกร (พวกแอฟริกา) ม้า ลา ท่อนไม้ และสายลม (โหดป่ะล่ะ)
คำพูดเสียดสีชาวอังกฤษ พวกคุณนี่ร้ายจริงๆ
ผมเดินดูไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่ ชั้น 3 ปิดปรับปรุงบางส่วน ผมก็เลยดูเท่าที่ดูได้ไปก่อน 

ไททานิคและลิเวอร์พูล เรื่องเล่าที่ไม่เคยได้เล่า
วิวของ Pier Head เมื่อมองจากชั้น 3 หวาาา สวยย :)
ผมขึ้นไปชั้น 4 ก็พบว่าข้างบนเป็นร้านอาหาร วิวดีทีเดียว แต่ราคาก็ตามวิวที่ดีนั่นแหละ ว่าแล้วก็ลงดีกว่า 
วิว Albert Dock เมื่อมองจากร้านกาแฟข้างบน
ผมลงมาด้านล่าง อากาศยังคงเย็นเช่นเดิม มีลมพัดมาจากแม่น้ำด้วย แต่ว่าวันนี้อากาศดีมากๆ ไม่มีเมฆฝนเลย ทำให้บรรยากาศดูน่าเดินเล่นและมาปิกนิค
ดูบรรยากาศสบายๆดีนะวันนี้
รถไอติมก็มีขายอยู่ทั่วไป แต่หนาวไปหน่อยนะวันนี้ ผมขอบายล่ะ
เก้าอี้นั่งภายใต้แสงแดด ตึกเหลี่ยมไกลๆนั่นคือจุดหมายต่อไป
Museum of Liverpool
 เดินไปตามทางไม่ไกลนักเราก็จะมาพบกับ Museum of Liverpool  ซึ่งเป็นมิวเซียมที่เปิดให้เข้าฟรี (อันที่แล้วก็ฟรีนะ) ซึ่งดูแค่ชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นมิวเซียมที่ต้องเกี่ยวกับเมืองลิเวอร์พูลอย่างละเอียดแน่ๆ พอเดินไปใกล้ๆ เราก็จะพบว่ามีเจ้าตัวพวกนี้อยู่เต็มไปหมด มันคือ Superlambanana หุ่นประหลาดพวกนี้เป็นหุ่นที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อคราวที่เมืองลิเวอร์พูลได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรปในปี 2008 ซึ่งมีตัวหลักๆคือสีเหลือง ส่วนตัวอื่นจะเป็นลวดลายต่างๆนาๆ แล้วแต่อารมณ์ศิลปินนะจ๊ะ
เพียบบกันไปหมด
ตัวนี้น่ารักดี ดูอาร์ต
แล้วมิวเซียมแห่งนี้จะมีอะไรน่าสนใจบ้างนะ...

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Liverpool ที่รัก 15: เดินชมเมือง

Liverpool Metropolitan Cathedral แห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่เป็น Landmark ของ Liverpool ผมไม่ค่อยทราบรายละเอียดและความสำคัญเท่าไร รู้แค่ว่าเป็นสถานที่อยู่อาศัย เอ๊ย! สถานที่ปฏิบัติงานของอาร์ชบิชอปของเมืองลิเวอร์พูล สถานที่นี้อยู่ติดกับมหาวิทยาลัยอีกแห่งของลิเวอร์พูลซึ่งก็คือ University of Liverpool (ผมอยู่ที่ Liverpool John Moores University) ต้องเดินขึ้นไปทางเหนือของใจกลางเมืองพอสมควร ทางเป็นเนินด้วย เหนื่อย !

ด้านหลังของ Liverpool Metropolitan Cathedral 
มองไปด้านข้าง จะเห็น University of Liverpool
ผมเดินไปที่ด้านหลังกันก่อน (ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ฮ่า) จากนั้นค่อยเดินมาทางด้านหน้า ซึ่งเจอกับเจ้าหน้าที่ที่เค้าบอกว่า ปิดแล้วครับ (ตอนนั้นประมาณ 5 โมงเย็น) พวกเราก็เลยทำไรไม่ได้นอกจากถ่ายรูปกันด้านนอกเท่านั้นเอง
เมื่อมองไปทาง University of Liverpool (รูปนี้เอาไปหลอกเพื่อนได้ว่าถ่ายจากลอนดอน ฮ่า)
แชะรูปกับทางด้านหน้าของ Liverpool Metropolitan Cathedral 
แม้จะค่อนข้างเย็นแล้ว แต่พระอาทิตย์ก็ยังฉายแสงสว่างอยู่พอสมควร พวกเราเลยตกลงจะไปที่ Albert Dock กันอีกที่นึง (ที่ที่ผมไปมาแล้วเมื่อวานนี้) การจะไปถึง Albert Dock นี่ต้องเดินผ่าเมืองไป เพราะว่าอยู่อีกด้านนึงของเมือง ตอนนี้มีความรู้สึกว่ารองเท้ามันบีบหัวแม่เท้ามากเลย อาจเป็นเพราะว่าวันนี้เดินเยอะ อีกทั้งรองเท้ามันอาจยังใหม่อยู่ เลยไม่ค่อยชิน 
สภาพของเมืองยามเย็น รถราวิ่งกันขวักไขว่
ผมพบว่าทางจักรยานในเมืองนั้นมีอยู่ทั่วไป ทางเรียบ กว้างดีด้วย มีสัญลักษณ์ที่ชัดเจน แล้วก็มีจุดที่ให้เช่าจักรยานสีเขียวๆของเมืองอยู่ทั่วไปหมด ซึ่งเห็นแล้วเป็นอะไรที่เมืองไทยน่าจะเลียนแบบจริงๆ ใครเป็นนักปั่นนี่น่าจะชอบเลย
เจออีกแล้ว จุดเช่าจักรยานของเมืองนี้
เดินมาอีกหน่อยนึงก็พบตึกที่เขียนเอาไว้ว่า Liverpool John Moores University ซึ่งทำให้ผมได้รับความรู้ใหม่ว่า มหาลัยนี้มีหลาย Campus (วิทยาเขต) ซึ่งแต่ละวิทยาเขตนั้นห่างกันไม่มาก แต่กระจายอยู่ทั่วเมือง แต่ Campus ที่ผมจะต้องไปทำวิจัยไม่ได้อยู่ตรงนี้นะ
อีก Campus หนึ่งของ Liverpool John Moores University 
จากนั้นเพื่อนผมก็ชี้ให้ดูผับๆหนึ่งชื่อ The Flute เพื่อนผมบอกว่า เพื่อนๆพี่ๆคนไทยจะมารวมตัวดูบอลกันที่นี่บ่อยๆ ถือเป็นผับประจำของคนไทยอีกแห่งหนึ่ง ในวันนี้มีถ่ายทอดบอลด้วยซึ่งลิเวอร์พูลจะพบกับบาเซิลตอนทุ่ม 45 พี่ๆเค้าก็นัดมาดูบอลกัน ผมและพี่ๆอีก 2 คนก็เลยบอกว่างั้นเดี๋ยวมาด้วยดีกว่า จะเป็นการดูลิเวอร์พูลแข่งขันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาอยู่ลิเวอร์พูล (งงว่ะ) ก็คือนัดนี้ลิเวอร์พูลออกไปเยือนนั่นเอง เลยต้องดูถ่ายทอดสด
The Flute ผับประจำของคนไทยที่นี่ (เพื่อนบอก)
บ้านแบบอังกฤษ ปล่องไฟบานเลย
เดินกันมาจนสุดถนนก็พบกับซากโบสต์เก่า เพื่อนผมบอกว่าเค้าเรียกกันว่า บอมบ์เชิร์ต ( Bomb Church) หรือโบสถ์ที่โดนระเบิด ก็คือว่าโบสถ์นี้โดนระเบิดในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วก็ไม่ได้ซ่อมแซม ปล่อยมันไว้แบบนี้เลย ทางเมืองลิเวอร์พูลได้ให้นิยามเกี่ยวกับโบสถ์นี้ว่า "จะมีเมืองไหนในโลกที่เราจะได้เดินในเมืองสมัยใหม่แล้วผ่านสถานที่สุดคลาสสิคแบบนี้ทุกๆวัน" เออจริงแฮะ
บอมบ์เชิร์ช ส่วนที่พังคือข้างใน
ถนนอีกเส้นหนึ่งที่จะนำไปสู่สถานีรถไฟ Liverpool Lime Street
พวกผมเดินผ่าเมืองโดยใช้ถนนที่ชื่อว่า Bold Street สักแป๊บก็มาถึงกลางเมือง 
บริเวณที่เรียกว่าใจกลางเมือง คนเยอะมากๆ
เพื่อนผมเลยพาเดินไปยังอีกที่นึงก่อนซึ่งอยู่ใกล้ๆ นั่นคือผับอันโด่งดังที่ชื่อว่า The Cavern ทำไมถึงดังน่ะเหรอ ก็เพราะว่ามันเป็นผับที่วง The Beatles แสดงและโด่งดังจากที่นี่นั่นเอง ผับนี้ต้องเข้าไปในซอยซอกแซกเล็กน้อย แต่บอกตรงๆว่าได้บรรยากาศมาก ผับนี้ตอนนี้ถูกอนุรักษ์ไว้ (ยังเปิดอยู่) มีรูปปั้น John Lennon อยู่ด้านหน้า ผมสังเกตุเห็นคนมาแวะเวียนถ่ายรูปกันไม่ได้ขาดเลย ถือเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ใครมาลิเวอร์พูลแล้วก็ห้ามพลาดเด็ดขาด
รูปปั้น John Lennon กับผมเอง อิอิ
โฉมหน้าของสี่หนุ่มวง The Beatles และหนึ่งหนุ่มจากไทย แฮ่ม!
เดินมาไกลโคตรๆ ในที่สุดพวกผมก็มาถึง Albert Dock โดยผมมาแล้วเมื่อวานนี้ เลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าเดิม ฮ่า อย่างไรก็ตาม วิวแถวๆนี้ก็ยังน่าหลงไหลเสมอสำหรับผู้มาใหม่สำหรับผม พอมาถึงนี่ก็เกือบ 6 โมงครึ่งละ พระอาทิตย์ตกดินพอดี วิวและแสงกำลังสวยเลย ผมและพวกพี่ๆก็เลยอยู่ถ่ายรูปกันแป๊บนึงอย่างมันส์
Albert Dock อีกมุมหนึ่ง
Albert Dock ยามเย็น ให้เพื่อนผมเป็นนายแบบ ฮ่า
Royal Liver Building ยามเย็น สวยมากจริงๆ
แสงหมดไปอย่างรวดเร็ว พี่สองคนนั้นเลยชวนกินข้าว พี่ๆบอกว่าอยากกินบุฟเฟ่ต์แบบชาบู เพื่อนผมก็เลยแนะนำให้ร้านนึง (มาไม่กี่วันก็กินบุฟเฟ่ต์เลย ฮ่า) พวกเราเลยตัดสินใจนั่งแท๊กซี่ไปร้านนั้นกัน ร้านนั้นอยู่ที่ถนน Bold Street ตอนบอกแท็กซี่ก็บอกตามสำเนียงที่เคยเรียนมาว่า โบว์สตรีท ปรากฏว่าแท็กซี่งง ไม่เข้าใจ ต้องพูดกันอยู่หลายรอบ สุดท้ายแท็กซี่ก็อ๋อ แล้วก็บอกว่า โบ๊วววววว สตรีท (คือฮามาก ต้องลากเสียงยาวๆ) พวกเราเลยฝึกโบ๊วววว สตรีทกันหลายรอบอยู่บนรถ ตอนแท็กซี่วิ่งรู้สึกว่ามันขับเหวี่ยงๆชอบกล สงสัยแท็กซี่คิดว่าล้อเลียนมันแน่เลย ฮ่าฮ่า โบ๊ววววว สตรีท

บุฟเฟต์ราคาประมาณคนละ 10 ปอนด์มั้ง (ถ้าจำไม่ผิด) ก็คล้ายๆที่ไทย คือมีเนื้อหลายอย่าง มีอาหารทะเลด้วย มีน้ำซุปสองแบบ มีคนเดินมาบริการน้ำเทน้ำให้ (ร้านนี้น่าจะเป็นร้านคนจีน) รสชาติก็ค่อนข้างดีนะ เสียอย่างเดียวคือน้ำจิ้ม ไม่มีความเผ็ดเลย เป็นน้ำจิ้มถั่วบด ไม่มีพริกให้ใส่ด้วย ผมเห็นโต๊ะข้างๆคงมากินบ่อย พี่แกเล่นเอาซอสสุกี้ตราสุรีย์จากไทยวางบนกลางโต๊ะเลย (มีขายที่นี่ ไว้ค่อยเล่า) กินกันจนใกล้ๆทุ่ม 45 ซึ่งบอลจะมาแล้ว พี่ๆเค้าเลยบอกให้ผมกับเพื่อนไปที่ผับกันก่อน เดี๋ยวเค้าตามไป ขอกินอีกหน่อย ส่วนมื้อนี้เค้าเลี้ยงเอง ผมนี่เกรงใจจริงๆ (แต่ก็เอานะ ฮ่าฮ่า ล้อเล่น) ผมและเพื่อนก็เลยรีบไปที่ผับกัน

ไปถึงผับก็พบว่าคนแน่นเลย เดินไปจนถึงโต๊ะนึงมีคนไทยอยู่เต็มเลย ผมก็เห็นใครน่าจะแก่กว่าก็ไหว้ดะเลย ฮ่า มีคนนึงชื่อพี่บิ๊ก (ไว้เล่าตอนต่อๆไป) ก็ได้พูดได้คุยกันบ้างว่าเป็นใครมาจากไหน เพื่อนผมซื้อโค้กมาเลี้ยงแก้วนึง (แก้วใหญ่) เนื่องจากผมไม่ดื่มของมึนเมา สักพักบอลก็มา คนในผับเชียร์กันมันส์มาก
บรรยากาศภายในผับ ทุกคนมีสมาธิกับการดูบอล
พวกพี่ๆอีก 2 คนเค้าโผล่มาที่ผับกันตอน 2 ทุ่มครึ่ง บอลจบครึ่งแรกพอดี (ยัง 0-0 อยู่) พี่ๆเค้าแวะมาคุยมาขอบคุณที่พาเค้าเที่ยวกัน เค้าบอกสนุกมากจริงๆ ไปมากี่เมื่องๆก็ไม่เคยได้เจอคนไทยพาเที่ยวเลย สักแป๊บพี่เค้าก็ขอตัวเพราะต้องขึ้นรถไฟกลับลอนดอนคืนนี้เลย 
แก๊งคนไทยในวันนี้ พี่ๆสองคนใจดีจริงๆ เลี้ยงชาบูกับคนแปลกหน้าด้วย ขอบคุณครับ :)
ลิเวอร์พูลเล่นห่วยจริงๆนัดนี้ จากเสียงเชียร์เริ่มมีเสียงตะโกนด่า พูดเสียดสี สุดท้ายโดนนำท้ายเกมส์ แล้วก็แพ้จนได้ (0-1) ทุกคนในผับดูหงุดหงิด ผมนี่ขึ้นเลย มาดูถึงที่ดันแพ้อีก เซ็ง เดินกลับหอดีกว่า

เดินไปก็กลัวไป ไม่เคยอยู่ถึงดึกๆมาก่อน กลัวโดนดักตีหัว ก็พยายามเดินตามถนนที่มันสว่างๆเข้าไว้ (ไฟถนนที่นี่สว่างมากจริงๆ เตะบอลได้เลย) ถึงหอเกือบ ๆ 4 ทุ่ม อาบน้ำ จากนั้นก็เช็คเมลล์ว่าทางมหาลัยติดต่อมารึยัง จะให้ไปทำวิจัยวันไหน ปรากฏว่ายังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

พรุ่งนี้ไปเที่ยวไหนต่อดีน้า ฮ่า...

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Liverpool ที่รัก 14: Everton Football Club


การเดินตากฝนพรำๆภายใต้อากาศที่หนาวเหน็บและลมแรงก็เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนจากประเทศที่มีแค่ 3 ฤดู (ร้อน ร้อนมาก และร้อนพ่องด้อง) แต่เดินไปมันก็สนุกดีนะ ได้ดูนู่นนี่ไปตลอดทางเลย บ้านเรือนสไตล์อังกฤษ ผับ บาร์ ถนนหนทาง รถราต่างๆที่วิ่งอยู่บนท้องถนน แต่วันนี้รถไม่ค่อยเยอะ อาจเป็นเพราะฝนตก และแถวนี้เป็นบริเวณชานเมืองด้วย เลยดูค่อนข้างเงียบๆในวันธรรมดา

ผับแห่งหนึ่งใกล้ๆสนามของลิเวอร์พูล
ขอเกริ่นเล็กๆน้อยก่อนว่าเอฟเวอร์ตันกับลิเวอร์พูลนั้นเกี่ยวอะไรกัน เรื่องของเรื่องก็คือประมาณว่า ในสมัยเริ่มแรก สโมสรฟุตบอลในเมืองนี้มีสโมสรเดียวคือสโมสรเอฟเวอร์ตัน ซึ่งมีสนามฟุตบอลแอนฟิลด์เป็นสนามเหย้า ต่อมาเกิดความขัดแย้งในบอร์ดบริหาร ทำให้ผู้เห็นต่างตัดสินใจเดินข้ามสวนสาธารณะ Stanley Park แล้วมาก่อตั้งเป็นสโมสรฟุตบอลใหม่ในชื่อเอฟเวอร์ตัน โดยมีสนามกูดิสัน พาร์คเป็นสนามเหย้า ส่วนบอร์ดที่เหลือก็ยังคงอยู่ที่เดิม และเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็นลิเวอร์พูล หลังจากนั้น เมืองนี้ก็ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือสีน้ำเงินของเอฟเวอร์ตัน และสีแดงของลิเวอร์พูล
สวนสาธารณะ Stanley Park ที่กั้นระหว่างกูดิสัน พาร์คของเอฟเวอร์ตัน และแอนฟิลด์ของลิเวอร์พูล
ภายในสวนสาธารณะ คนน้อยจัง
พวกผมเดินเลียบไปตามริมถนนที่ติดกับสวนสาธารณะสแตนลีย์ พาร์ค วันนี้ไม่ค่อยมีคนมาเดินเล่นสักเท่าไร อาจเป็นเพราะฝนตกพรำๆ และอากาศหนาวด้วย การเลือกจะอยู่ในผ้าห่มน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า (ผมก็คิดยังงั้นเหมือนกัน มาลำบากทำไมวะ ฮ่าา) เดินตรงไปเรื่อยๆไม่นานนัก ผมก็เห็นสนามกูดิสัน พาร์คที่เป็นรังเหย้าของเอฟเวอร์ตันตั้งตระหง่านมาแต่ไกล 
บ้านสไตล์อังกฤษริมทาง
สนามเอฟเวอร์ตัน อยู่ไม่ไกลแล้ววววว
เมื่อเดินมาเรื่อยๆก็พบว่า Shop ของเอฟเวอร์ตันนั้นตั้งแยกออกมาจากสนามอยู่ต่างหาก พวกผมจึงตัดสินใจแวะเข้าไปเดินเล่นก่อน
Shop ของเอฟเวอร์ตัน เน้นโทนสีน้ำเงิน ดูเท่ดีเหมือนกันนะ
เดินเข้าไปปุ๊บผมก็ยกกล้องถ่ายรูปทันที ก็เกือบงานเข้าเลย  เจ้าหน้าที่เลยเดินเข้ามาอย่างเร็วไว แล้วก็บอกว่า อยากจะถ่ายรูปก็ถ่ายได้นะ แต่ขออย่างเดียว ห้ามถ่ายวีดีโอ โอเค๊ ? ผมก็เอ้ออ ไม่ถ่ายหรอก ถ่ายแต่รูปแหละ ตกใจหมด นึกว่าทำอะไรผิดมหันต์ ฮ่าา,,,,ภายใน Shop ก็ขายของเกี่ยวกับพวกฟุตบอลเหมือน Shop ของลิเวอร์พูลแหละ เสื้อบอล ของที่ระลึกนู่นนี่นั่น พวกเราก็เดินดูอยู่สักพัก จากนั้นผมก็เดินออกมาโดยไม่ได้อะไรติดมือมาเลย (แหงแหละ ผมแฟนลิเวอร์พูลนี่)

ของจำพวกเสื้อผ้าในแบรนด์ของเอฟเวอร์ตัน

จะเอาลายไหนสีไหน ก็มีหมด

ตราสโมสรเอฟเวอร์ตัน ฟุตบอลคลับ
ข้างหน้าสนามมีรูปปั้นของตำนานสโมสรตั้งอยู่ รู้สึกจะชื่อว่า ดิ๊กซี่ ดีน เป็นกองหน้าตีนระเบิด แต่พี่แกคงล่วงลับไปแล้ว ก็เลยมีช่อดอกไม้หรือพวงมาลัยวางอยู่เต็มไปหมดเลย คงเป็นของแฟนบอลเอฟเวอร์ตันแหละ
ดิ๊กซี่ ดีน ตำนานของเอฟเวอร์ตัน
ข้ามถนนมาอีกฝั่งนึงก็เป็นสนามกูดิสัน พาร์ค สนามของเอฟเวอร์ตันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรเท่าไหร่หากเทียบกับแอนฟิลด์ของลิเวอร์พูล วันนี้สนามปิด และก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะทัวร์สนามเอฟเวอร์ตันในวันนี้ ก็เลยแวะถ่ายรูปกันพอเป็นพิธี ให้รู้ว่ามาถึงแล้วนะ ฮ่าา
กูดิสัน พาร์ค สนามเหย้าของเอฟเวอร์ตัน 

เอฟเวอร์ตันเป็นสโมสรที่เก่าแก่ที่สุดสโมสรหนึ่งในอังกฤษเลยนะ

ไม่พลาดที่จะเก็บรูป อิอิ
เมื่อถ่ายรูปกันจนเป็นที่พอใจ เพื่อนผมก็เสนอว่าจะพาพี่ๆไปเที่ยวในเมืองต่อ โดยที่ที่จะไปก็คือโบสต์ liverpool metropolitan cathedral เนื่องด้วยเวลามีไม่มาก เราเลยขึ้นรถเมลล์มาลงที่ใจกลางเมือง จากนั้นก็เดินกันไปโดยเพื่อนผมเป็นคนนำ ผมก็เดินชมเมืองดูนั่นถ่ายรูปนี่ไปเรื่อย ด้วยเมืองนี้นั้นมันเป็นลักษณะของเนิน ไม่ได้ราบเรียบไปทั้งหมด จึงทำให้การเดินในบางช่วงบางตอนนี่เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน เพราะต้องเดินขึ้นเนิน ยังไม่ค่อยชินเท่าไร ฮ่า
บ้านแบบอังกฤษ ดูเป็นพิมพ์เดียวกันพรืดเลย มีมอไซค์ด้วย
เพียงไม่นาน คณะทัวร์คนไทย (?) ก็มาถึงโบสต์แห่งหนึ่ง ที่ซึ่งเป็น Landmark สำคัญอีกแห่งของเมืองลิเวอร์พูล...