วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Liverpool ที่รัก 15: เดินชมเมือง

Liverpool Metropolitan Cathedral แห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่เป็น Landmark ของ Liverpool ผมไม่ค่อยทราบรายละเอียดและความสำคัญเท่าไร รู้แค่ว่าเป็นสถานที่อยู่อาศัย เอ๊ย! สถานที่ปฏิบัติงานของอาร์ชบิชอปของเมืองลิเวอร์พูล สถานที่นี้อยู่ติดกับมหาวิทยาลัยอีกแห่งของลิเวอร์พูลซึ่งก็คือ University of Liverpool (ผมอยู่ที่ Liverpool John Moores University) ต้องเดินขึ้นไปทางเหนือของใจกลางเมืองพอสมควร ทางเป็นเนินด้วย เหนื่อย !

ด้านหลังของ Liverpool Metropolitan Cathedral 
มองไปด้านข้าง จะเห็น University of Liverpool
ผมเดินไปที่ด้านหลังกันก่อน (ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ฮ่า) จากนั้นค่อยเดินมาทางด้านหน้า ซึ่งเจอกับเจ้าหน้าที่ที่เค้าบอกว่า ปิดแล้วครับ (ตอนนั้นประมาณ 5 โมงเย็น) พวกเราก็เลยทำไรไม่ได้นอกจากถ่ายรูปกันด้านนอกเท่านั้นเอง
เมื่อมองไปทาง University of Liverpool (รูปนี้เอาไปหลอกเพื่อนได้ว่าถ่ายจากลอนดอน ฮ่า)
แชะรูปกับทางด้านหน้าของ Liverpool Metropolitan Cathedral 
แม้จะค่อนข้างเย็นแล้ว แต่พระอาทิตย์ก็ยังฉายแสงสว่างอยู่พอสมควร พวกเราเลยตกลงจะไปที่ Albert Dock กันอีกที่นึง (ที่ที่ผมไปมาแล้วเมื่อวานนี้) การจะไปถึง Albert Dock นี่ต้องเดินผ่าเมืองไป เพราะว่าอยู่อีกด้านนึงของเมือง ตอนนี้มีความรู้สึกว่ารองเท้ามันบีบหัวแม่เท้ามากเลย อาจเป็นเพราะว่าวันนี้เดินเยอะ อีกทั้งรองเท้ามันอาจยังใหม่อยู่ เลยไม่ค่อยชิน 
สภาพของเมืองยามเย็น รถราวิ่งกันขวักไขว่
ผมพบว่าทางจักรยานในเมืองนั้นมีอยู่ทั่วไป ทางเรียบ กว้างดีด้วย มีสัญลักษณ์ที่ชัดเจน แล้วก็มีจุดที่ให้เช่าจักรยานสีเขียวๆของเมืองอยู่ทั่วไปหมด ซึ่งเห็นแล้วเป็นอะไรที่เมืองไทยน่าจะเลียนแบบจริงๆ ใครเป็นนักปั่นนี่น่าจะชอบเลย
เจออีกแล้ว จุดเช่าจักรยานของเมืองนี้
เดินมาอีกหน่อยนึงก็พบตึกที่เขียนเอาไว้ว่า Liverpool John Moores University ซึ่งทำให้ผมได้รับความรู้ใหม่ว่า มหาลัยนี้มีหลาย Campus (วิทยาเขต) ซึ่งแต่ละวิทยาเขตนั้นห่างกันไม่มาก แต่กระจายอยู่ทั่วเมือง แต่ Campus ที่ผมจะต้องไปทำวิจัยไม่ได้อยู่ตรงนี้นะ
อีก Campus หนึ่งของ Liverpool John Moores University 
จากนั้นเพื่อนผมก็ชี้ให้ดูผับๆหนึ่งชื่อ The Flute เพื่อนผมบอกว่า เพื่อนๆพี่ๆคนไทยจะมารวมตัวดูบอลกันที่นี่บ่อยๆ ถือเป็นผับประจำของคนไทยอีกแห่งหนึ่ง ในวันนี้มีถ่ายทอดบอลด้วยซึ่งลิเวอร์พูลจะพบกับบาเซิลตอนทุ่ม 45 พี่ๆเค้าก็นัดมาดูบอลกัน ผมและพี่ๆอีก 2 คนก็เลยบอกว่างั้นเดี๋ยวมาด้วยดีกว่า จะเป็นการดูลิเวอร์พูลแข่งขันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาอยู่ลิเวอร์พูล (งงว่ะ) ก็คือนัดนี้ลิเวอร์พูลออกไปเยือนนั่นเอง เลยต้องดูถ่ายทอดสด
The Flute ผับประจำของคนไทยที่นี่ (เพื่อนบอก)
บ้านแบบอังกฤษ ปล่องไฟบานเลย
เดินกันมาจนสุดถนนก็พบกับซากโบสต์เก่า เพื่อนผมบอกว่าเค้าเรียกกันว่า บอมบ์เชิร์ต ( Bomb Church) หรือโบสถ์ที่โดนระเบิด ก็คือว่าโบสถ์นี้โดนระเบิดในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วก็ไม่ได้ซ่อมแซม ปล่อยมันไว้แบบนี้เลย ทางเมืองลิเวอร์พูลได้ให้นิยามเกี่ยวกับโบสถ์นี้ว่า "จะมีเมืองไหนในโลกที่เราจะได้เดินในเมืองสมัยใหม่แล้วผ่านสถานที่สุดคลาสสิคแบบนี้ทุกๆวัน" เออจริงแฮะ
บอมบ์เชิร์ช ส่วนที่พังคือข้างใน
ถนนอีกเส้นหนึ่งที่จะนำไปสู่สถานีรถไฟ Liverpool Lime Street
พวกผมเดินผ่าเมืองโดยใช้ถนนที่ชื่อว่า Bold Street สักแป๊บก็มาถึงกลางเมือง 
บริเวณที่เรียกว่าใจกลางเมือง คนเยอะมากๆ
เพื่อนผมเลยพาเดินไปยังอีกที่นึงก่อนซึ่งอยู่ใกล้ๆ นั่นคือผับอันโด่งดังที่ชื่อว่า The Cavern ทำไมถึงดังน่ะเหรอ ก็เพราะว่ามันเป็นผับที่วง The Beatles แสดงและโด่งดังจากที่นี่นั่นเอง ผับนี้ต้องเข้าไปในซอยซอกแซกเล็กน้อย แต่บอกตรงๆว่าได้บรรยากาศมาก ผับนี้ตอนนี้ถูกอนุรักษ์ไว้ (ยังเปิดอยู่) มีรูปปั้น John Lennon อยู่ด้านหน้า ผมสังเกตุเห็นคนมาแวะเวียนถ่ายรูปกันไม่ได้ขาดเลย ถือเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ใครมาลิเวอร์พูลแล้วก็ห้ามพลาดเด็ดขาด
รูปปั้น John Lennon กับผมเอง อิอิ
โฉมหน้าของสี่หนุ่มวง The Beatles และหนึ่งหนุ่มจากไทย แฮ่ม!
เดินมาไกลโคตรๆ ในที่สุดพวกผมก็มาถึง Albert Dock โดยผมมาแล้วเมื่อวานนี้ เลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าเดิม ฮ่า อย่างไรก็ตาม วิวแถวๆนี้ก็ยังน่าหลงไหลเสมอสำหรับผู้มาใหม่สำหรับผม พอมาถึงนี่ก็เกือบ 6 โมงครึ่งละ พระอาทิตย์ตกดินพอดี วิวและแสงกำลังสวยเลย ผมและพวกพี่ๆก็เลยอยู่ถ่ายรูปกันแป๊บนึงอย่างมันส์
Albert Dock อีกมุมหนึ่ง
Albert Dock ยามเย็น ให้เพื่อนผมเป็นนายแบบ ฮ่า
Royal Liver Building ยามเย็น สวยมากจริงๆ
แสงหมดไปอย่างรวดเร็ว พี่สองคนนั้นเลยชวนกินข้าว พี่ๆบอกว่าอยากกินบุฟเฟ่ต์แบบชาบู เพื่อนผมก็เลยแนะนำให้ร้านนึง (มาไม่กี่วันก็กินบุฟเฟ่ต์เลย ฮ่า) พวกเราเลยตัดสินใจนั่งแท๊กซี่ไปร้านนั้นกัน ร้านนั้นอยู่ที่ถนน Bold Street ตอนบอกแท็กซี่ก็บอกตามสำเนียงที่เคยเรียนมาว่า โบว์สตรีท ปรากฏว่าแท็กซี่งง ไม่เข้าใจ ต้องพูดกันอยู่หลายรอบ สุดท้ายแท็กซี่ก็อ๋อ แล้วก็บอกว่า โบ๊วววววว สตรีท (คือฮามาก ต้องลากเสียงยาวๆ) พวกเราเลยฝึกโบ๊วววว สตรีทกันหลายรอบอยู่บนรถ ตอนแท็กซี่วิ่งรู้สึกว่ามันขับเหวี่ยงๆชอบกล สงสัยแท็กซี่คิดว่าล้อเลียนมันแน่เลย ฮ่าฮ่า โบ๊ววววว สตรีท

บุฟเฟต์ราคาประมาณคนละ 10 ปอนด์มั้ง (ถ้าจำไม่ผิด) ก็คล้ายๆที่ไทย คือมีเนื้อหลายอย่าง มีอาหารทะเลด้วย มีน้ำซุปสองแบบ มีคนเดินมาบริการน้ำเทน้ำให้ (ร้านนี้น่าจะเป็นร้านคนจีน) รสชาติก็ค่อนข้างดีนะ เสียอย่างเดียวคือน้ำจิ้ม ไม่มีความเผ็ดเลย เป็นน้ำจิ้มถั่วบด ไม่มีพริกให้ใส่ด้วย ผมเห็นโต๊ะข้างๆคงมากินบ่อย พี่แกเล่นเอาซอสสุกี้ตราสุรีย์จากไทยวางบนกลางโต๊ะเลย (มีขายที่นี่ ไว้ค่อยเล่า) กินกันจนใกล้ๆทุ่ม 45 ซึ่งบอลจะมาแล้ว พี่ๆเค้าเลยบอกให้ผมกับเพื่อนไปที่ผับกันก่อน เดี๋ยวเค้าตามไป ขอกินอีกหน่อย ส่วนมื้อนี้เค้าเลี้ยงเอง ผมนี่เกรงใจจริงๆ (แต่ก็เอานะ ฮ่าฮ่า ล้อเล่น) ผมและเพื่อนก็เลยรีบไปที่ผับกัน

ไปถึงผับก็พบว่าคนแน่นเลย เดินไปจนถึงโต๊ะนึงมีคนไทยอยู่เต็มเลย ผมก็เห็นใครน่าจะแก่กว่าก็ไหว้ดะเลย ฮ่า มีคนนึงชื่อพี่บิ๊ก (ไว้เล่าตอนต่อๆไป) ก็ได้พูดได้คุยกันบ้างว่าเป็นใครมาจากไหน เพื่อนผมซื้อโค้กมาเลี้ยงแก้วนึง (แก้วใหญ่) เนื่องจากผมไม่ดื่มของมึนเมา สักพักบอลก็มา คนในผับเชียร์กันมันส์มาก
บรรยากาศภายในผับ ทุกคนมีสมาธิกับการดูบอล
พวกพี่ๆอีก 2 คนเค้าโผล่มาที่ผับกันตอน 2 ทุ่มครึ่ง บอลจบครึ่งแรกพอดี (ยัง 0-0 อยู่) พี่ๆเค้าแวะมาคุยมาขอบคุณที่พาเค้าเที่ยวกัน เค้าบอกสนุกมากจริงๆ ไปมากี่เมื่องๆก็ไม่เคยได้เจอคนไทยพาเที่ยวเลย สักแป๊บพี่เค้าก็ขอตัวเพราะต้องขึ้นรถไฟกลับลอนดอนคืนนี้เลย 
แก๊งคนไทยในวันนี้ พี่ๆสองคนใจดีจริงๆ เลี้ยงชาบูกับคนแปลกหน้าด้วย ขอบคุณครับ :)
ลิเวอร์พูลเล่นห่วยจริงๆนัดนี้ จากเสียงเชียร์เริ่มมีเสียงตะโกนด่า พูดเสียดสี สุดท้ายโดนนำท้ายเกมส์ แล้วก็แพ้จนได้ (0-1) ทุกคนในผับดูหงุดหงิด ผมนี่ขึ้นเลย มาดูถึงที่ดันแพ้อีก เซ็ง เดินกลับหอดีกว่า

เดินไปก็กลัวไป ไม่เคยอยู่ถึงดึกๆมาก่อน กลัวโดนดักตีหัว ก็พยายามเดินตามถนนที่มันสว่างๆเข้าไว้ (ไฟถนนที่นี่สว่างมากจริงๆ เตะบอลได้เลย) ถึงหอเกือบ ๆ 4 ทุ่ม อาบน้ำ จากนั้นก็เช็คเมลล์ว่าทางมหาลัยติดต่อมารึยัง จะให้ไปทำวิจัยวันไหน ปรากฏว่ายังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

พรุ่งนี้ไปเที่ยวไหนต่อดีน้า ฮ่า...

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Liverpool ที่รัก 14: Everton Football Club


การเดินตากฝนพรำๆภายใต้อากาศที่หนาวเหน็บและลมแรงก็เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนจากประเทศที่มีแค่ 3 ฤดู (ร้อน ร้อนมาก และร้อนพ่องด้อง) แต่เดินไปมันก็สนุกดีนะ ได้ดูนู่นนี่ไปตลอดทางเลย บ้านเรือนสไตล์อังกฤษ ผับ บาร์ ถนนหนทาง รถราต่างๆที่วิ่งอยู่บนท้องถนน แต่วันนี้รถไม่ค่อยเยอะ อาจเป็นเพราะฝนตก และแถวนี้เป็นบริเวณชานเมืองด้วย เลยดูค่อนข้างเงียบๆในวันธรรมดา

ผับแห่งหนึ่งใกล้ๆสนามของลิเวอร์พูล
ขอเกริ่นเล็กๆน้อยก่อนว่าเอฟเวอร์ตันกับลิเวอร์พูลนั้นเกี่ยวอะไรกัน เรื่องของเรื่องก็คือประมาณว่า ในสมัยเริ่มแรก สโมสรฟุตบอลในเมืองนี้มีสโมสรเดียวคือสโมสรเอฟเวอร์ตัน ซึ่งมีสนามฟุตบอลแอนฟิลด์เป็นสนามเหย้า ต่อมาเกิดความขัดแย้งในบอร์ดบริหาร ทำให้ผู้เห็นต่างตัดสินใจเดินข้ามสวนสาธารณะ Stanley Park แล้วมาก่อตั้งเป็นสโมสรฟุตบอลใหม่ในชื่อเอฟเวอร์ตัน โดยมีสนามกูดิสัน พาร์คเป็นสนามเหย้า ส่วนบอร์ดที่เหลือก็ยังคงอยู่ที่เดิม และเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็นลิเวอร์พูล หลังจากนั้น เมืองนี้ก็ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือสีน้ำเงินของเอฟเวอร์ตัน และสีแดงของลิเวอร์พูล
สวนสาธารณะ Stanley Park ที่กั้นระหว่างกูดิสัน พาร์คของเอฟเวอร์ตัน และแอนฟิลด์ของลิเวอร์พูล
ภายในสวนสาธารณะ คนน้อยจัง
พวกผมเดินเลียบไปตามริมถนนที่ติดกับสวนสาธารณะสแตนลีย์ พาร์ค วันนี้ไม่ค่อยมีคนมาเดินเล่นสักเท่าไร อาจเป็นเพราะฝนตกพรำๆ และอากาศหนาวด้วย การเลือกจะอยู่ในผ้าห่มน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า (ผมก็คิดยังงั้นเหมือนกัน มาลำบากทำไมวะ ฮ่าา) เดินตรงไปเรื่อยๆไม่นานนัก ผมก็เห็นสนามกูดิสัน พาร์คที่เป็นรังเหย้าของเอฟเวอร์ตันตั้งตระหง่านมาแต่ไกล 
บ้านสไตล์อังกฤษริมทาง
สนามเอฟเวอร์ตัน อยู่ไม่ไกลแล้ววววว
เมื่อเดินมาเรื่อยๆก็พบว่า Shop ของเอฟเวอร์ตันนั้นตั้งแยกออกมาจากสนามอยู่ต่างหาก พวกผมจึงตัดสินใจแวะเข้าไปเดินเล่นก่อน
Shop ของเอฟเวอร์ตัน เน้นโทนสีน้ำเงิน ดูเท่ดีเหมือนกันนะ
เดินเข้าไปปุ๊บผมก็ยกกล้องถ่ายรูปทันที ก็เกือบงานเข้าเลย  เจ้าหน้าที่เลยเดินเข้ามาอย่างเร็วไว แล้วก็บอกว่า อยากจะถ่ายรูปก็ถ่ายได้นะ แต่ขออย่างเดียว ห้ามถ่ายวีดีโอ โอเค๊ ? ผมก็เอ้ออ ไม่ถ่ายหรอก ถ่ายแต่รูปแหละ ตกใจหมด นึกว่าทำอะไรผิดมหันต์ ฮ่าา,,,,ภายใน Shop ก็ขายของเกี่ยวกับพวกฟุตบอลเหมือน Shop ของลิเวอร์พูลแหละ เสื้อบอล ของที่ระลึกนู่นนี่นั่น พวกเราก็เดินดูอยู่สักพัก จากนั้นผมก็เดินออกมาโดยไม่ได้อะไรติดมือมาเลย (แหงแหละ ผมแฟนลิเวอร์พูลนี่)

ของจำพวกเสื้อผ้าในแบรนด์ของเอฟเวอร์ตัน

จะเอาลายไหนสีไหน ก็มีหมด

ตราสโมสรเอฟเวอร์ตัน ฟุตบอลคลับ
ข้างหน้าสนามมีรูปปั้นของตำนานสโมสรตั้งอยู่ รู้สึกจะชื่อว่า ดิ๊กซี่ ดีน เป็นกองหน้าตีนระเบิด แต่พี่แกคงล่วงลับไปแล้ว ก็เลยมีช่อดอกไม้หรือพวงมาลัยวางอยู่เต็มไปหมดเลย คงเป็นของแฟนบอลเอฟเวอร์ตันแหละ
ดิ๊กซี่ ดีน ตำนานของเอฟเวอร์ตัน
ข้ามถนนมาอีกฝั่งนึงก็เป็นสนามกูดิสัน พาร์ค สนามของเอฟเวอร์ตันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรเท่าไหร่หากเทียบกับแอนฟิลด์ของลิเวอร์พูล วันนี้สนามปิด และก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะทัวร์สนามเอฟเวอร์ตันในวันนี้ ก็เลยแวะถ่ายรูปกันพอเป็นพิธี ให้รู้ว่ามาถึงแล้วนะ ฮ่าา
กูดิสัน พาร์ค สนามเหย้าของเอฟเวอร์ตัน 

เอฟเวอร์ตันเป็นสโมสรที่เก่าแก่ที่สุดสโมสรหนึ่งในอังกฤษเลยนะ

ไม่พลาดที่จะเก็บรูป อิอิ
เมื่อถ่ายรูปกันจนเป็นที่พอใจ เพื่อนผมก็เสนอว่าจะพาพี่ๆไปเที่ยวในเมืองต่อ โดยที่ที่จะไปก็คือโบสต์ liverpool metropolitan cathedral เนื่องด้วยเวลามีไม่มาก เราเลยขึ้นรถเมลล์มาลงที่ใจกลางเมือง จากนั้นก็เดินกันไปโดยเพื่อนผมเป็นคนนำ ผมก็เดินชมเมืองดูนั่นถ่ายรูปนี่ไปเรื่อย ด้วยเมืองนี้นั้นมันเป็นลักษณะของเนิน ไม่ได้ราบเรียบไปทั้งหมด จึงทำให้การเดินในบางช่วงบางตอนนี่เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน เพราะต้องเดินขึ้นเนิน ยังไม่ค่อยชินเท่าไร ฮ่า
บ้านแบบอังกฤษ ดูเป็นพิมพ์เดียวกันพรืดเลย มีมอไซค์ด้วย
เพียงไม่นาน คณะทัวร์คนไทย (?) ก็มาถึงโบสต์แห่งหนึ่ง ที่ซึ่งเป็น Landmark สำคัญอีกแห่งของเมืองลิเวอร์พูล... 

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Liverpool ที่รัก 13: This is Anfield !

ผมโผล่หัวออกมาจากอุโมงค์อันศักดิ์สิทธิ์ มายืนอยู่ในสนามแอนฟิลด์ โอ้วว นี่เหรอสนามที่สาวกหงส์แดงทุกคนใฝ่ฝันอยากจะมาเยือนสักครั้งหนึ่ง บัดนี้เราได้มีโอกาสได้มาเหยียบแล้วนะ มันช่างเป็นความรู้สึกที่น่าตื้นตันใจจริงๆ :) ความรู้สึกแรกที่เห็นสนามคือ รู้สึกว่ามันมีมนต์ขลัง สนามดูไม่ใหญ่แล้วก็ไม่เล็กจนเกินไป มองไปทางไหนก็มีแต่เก้าอี้สีแดงพรืดไปหมด มีตราสัญลักษณ์ของสโมสรลิเวอร์พูลอยู่เหนือสแตนด์ทั้ง 4 ด้าน หญ้าสีเขียวที่ดูแล้วเนี้ยบมากเหมือนที่เคยเห็นผ่านทีวี อีกทั้งวันนี้ยังมีฝนปรอยๆตกลงมาอีก บรรยากาศช่างสุดยอดมาก
แวบแรกที่เห็นสนามแอนฟิลด์อันยิ่งใหญ่ :)
ไกด์ก็ปล่อยให้ทุกๆท่านในคณะทัวร์ดื่มด่ำกับบรรยากาศในสนามแอนฟิลด์กันสักครู่ จากนั้นก็ไล่ต้อนทุกคนให้ไปนั่งที่ซุ้มม้านั่งสำรอง ที่ซึ่งนักเตะและโค้ชของลิเวอร์พูลจะอยู่ประจำการในนัดที่มีการแข่งขัน บ่องตงว่าเก้าอี้ดูสไตล์งานวัดมาก เป็นเก้าอี้แบบพับ (คล้ายๆในโรงหนังที่เมื่อไม่มีคนนั่ง มันจะพับขึ้นไปเอง) มีส่วนที่นุ่มๆนิดหน่อย แต่โดยรวมก็ถือว่าอยู่ในสภาพดีนะ ฮ่าฮ่า,,, ไกด์ก็แพล่มอะไรไปตามหน้าที่ ส่วนผมนี่ไม่ค่อยฟังเท่าไร เน้นถ่ายรูปเยอะๆไว้ก่อน มาครั้งแรก ตื่นเต้น อิอิ
ตรงนี้แหละ ซุ้มม้านั่งของโค้ชและนักเตะสำรอง ดูไม่ต่างจากที่นั่งกองเชียร์สักเท่าไหร่ ฮ่า
 เค้าเอาเชือกกั้นไว้ไม่ให้คนไปเหยียบหญ้าในสนามอ่ะนะ จากตรงนี้คือมุมมองจากซุ้มม้านั่งสำรอง

ไกด์พาเดินไปยังสแตนด์หลังประตูที่มีชื่อว่าKop Stand ซึ่งเป็นสแตนด์ที่สาวกลิเวอร์พูลพันธุ์แท้จะมารวมกันอยู่ที่นี่ เพื่อนผมกระซิบให้ฟังว่า คนดูที่สแตนด์นี้เค้าจะไม่นั่งกันนะ เค้าจะยืนดูกัน ได้อารมณ์ดี แล้วก็จะร้องเพลงเชียร์กันตลอดเวลา เวลาดูทีวี ที่เห็นพวกธง ป้ายผ้า ก็คือที่สแตนด์นี่แหละ มีโอกาสต้องลองมาดูที่สแตนด์ฝั่งนี้สักครั้งนะ แล้วจะลืมไม่ลง ผมก็คิดในใจว่า ไว้ว่ากันอีกที ยังไงคงต้องขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าแหละ ฮ่าฮ่า
ด้านหลังนู่นคือสแตนด์ฝั่ง Kop Stand ในตำนาน
ผมลืมบอกไปอย่างนึงว่า ในคณะทัวร์นี้ นอกจากพวกผมแล้ว มีคนไทยอีก 2 คนที่มาทัวร์สนามพร้อมกับพวกผมด้วย บังเอิญได้ยินว่าพูดภาษาไทยกัน เลยทักกัน ก็ได้ความว่า พี่เค้าเป็นคนไทยหาโอกาสมาเที่ยวที่อังกฤษ พอดีเงินโบนัสออกเยอะ (ฮ่า) พี่ๆเค้าไปกันมาหลายเมืองทั่วอังกฤษเลย วันนี้เป็นคิวของเมืองลิเวอร์พูล ก็กำลังงงๆอยู่พอดี พอมาเจอพวกผมก็ดีเลย เพราะเพื่อนผมเชี่ยวชาญเรื่องที่เที่ยวในเมืองมาก ก็เลยกะว่าหลังจากทัวร์สนามก็อาจไปเที่ยวกันต่อ ซึ่งก็ดีเลยผมจะได้ไปด้วย ฮ่า แต่จะไปไหนเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที
มุมมองสนามจากฝั่ง The Kop Stand ซ้ายมือคือ Main Stand ขวามือคือ Centenary Stand ส่วนด้านตรงข้ามคือ Anfield Road
และแล้วก็หมดเวลาของการทัวร์สนาม รวมๆแล้วก็เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงพอดิบพอดี ไกด์ก็เซย์แต๊งกิ้ว แล้วก็ชี้ประตูให้ทุกๆคนเดินออกไป แต่ก็นะ สำหรับคนที่ไม่เคยมาอย่างพวกผม ก็อยู่อิดออดถ่ายรูปกันนานหน่อย จนสุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็เดินมาแล้วทำหน้าประมาณว่า พวกมึงรีบๆออกกันไปเถอะ (เค้าคงคิดในใจ) ก่อนออกไกด์ชี้ให้ดูหญ้ากองหนึ่ง แล้วบอกว่าเจ้าหน้าที่พึ่งตัดหญ้าสนามวันนี้เลย และที่เห็นอยู่นี่คือหญ้าของสนามแอนฟิลด์จริงๆ พวกเราก็ โห เจ๋งว่ะ ได้จับหญ้าด้วย ไกด์เลยบอกอีกว่า พวกคุณจะเก็บไปเป็นที่ระลึกก็ได้นะ แหม่ รอคำนี้อยู่เลย ช้าอยู่ใย โกยสิครับ ผมกับพี่คนไทยอีกคนช่วยกันโกยหญ้าที่วางอยู่ทั้งหมดใส่มือ ไม่รู้จะใส่อะไร เลยถามไกด์ไปว่า มีถุงสักลูกมั้ย (ถามเหมือนซื้อขนมเซเว่นเลย) ไกด์บอกไม่มีหรอก (โว้ย) ผมนึกขึ้นได้ว่ามีซองใส่จดหมายเปล่าๆอยู่ในกระเป๋า ก็เลยโกยหญ้าทั้งหมดใส่ลงไปในนั้น แบ่งกับพี่คนไทยคนละครึ่ง  นี่ล่ะ ของที่ระลึกแรกจากสนามแอนฟิลด์ ฮ่าฮ่า
หญ้าจริง ตัวจริง เสียงจริง ของสนามแอนฟิลด์ ตอนนี้ผมกิน เอ๊ย เก็บใส่กล่องเรียบร้อยอยู่บ้าน
หลังจากเอาหญ้าใส่กระเป๋าอย่างทะนุถนอม ไกด์ก็บอกว่าพวกคุณก็ไปที่พิพิธภัณฑ์ของสโมสรกันต่อเลยได้นะ พวกผมก็เดินไปตามที่เค้าบอก ผมเดินย้อนกลับมาที่บริเวณขายตั๋วทัวร์สนามอีกครั้ง จากนั้นขึ้นไปยังชั้น 2 ก็จะพบกันพิพิธภัณฑ์ของสโมสรลิเวอร์พูล 

ป้ายนี้บ่งบอกชื่อของผู้ที่เสียชีวิตทั้ง 96 คนในโศกนาฏกรรมที่ฮิลล์สโบโร่
ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงของทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับลิเวอร์พูล ไล่ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน สนามในอดีต ประวัตินักเตะและผู้จัดการทีมในตำนาน ถ้วยแชมป์ต่างๆที่ลิเวอร์พูลเคยได้ แน่นอนไม่มีถ้วยพรีเมียร์ลีก (เพื่อนผีแดงแมนยูของผมมันฝากให้มาดูให้หน่อย น่าตบจริงๆ :( ) 
แบบจำลองสนามในสมัยเริ่มแรก (100 กว่าปีมาแล้ว) 
Time line ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล
แต่ที่พลาดไม่ได้เลยคือ ถ้วยที่สำคัญสุดๆคือถ้วยแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกส์ ที่เอาชนะทีมเอซี มิลานเมื่อปี 2005 อย่างสุดยอด ซึ่งทำให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นแชมป์ยุโรป 5 สมัย มากกว่าใครในเกาะอังกฤษ (อิอิ) ทางยูฟ่าเลยให้ถ้วยจริงมาเก็บไว้เลย 
เสื้อของใครเอ๋ย ?
ไม่พลาดที่จะได้ใกล้ชิดกับถ้วยแชมป์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล :)
หลังจากดื่มด่ำกับความสำเร็จและประวัติศาสตร์อันน่าตื่นเต้นของลิเวอร์พูลจากในพิพิธภัณฑ์กันเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาต้องแวะเข้า shop ไปซื้อของเล็กๆน้อยๆติดไม้ติดมือก่อนกลับซะหน่อย ผมตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะซื้อเสื้อลิเวอร์พูลของจริงจากที่นี่ ที่สนามแอนฟิลด์แห่งนี้ ซึ่งเสื้อของจริงราคาค่อนข้างแพงหน่อย รวมค่าปักชื่อปักเบอร์ก็ประมาณ 70 ปอนด์ (3500 บาท) ต่างจากที่ไปซื้อหลังสนามศุภ (คนเตะบอลรู้ดี) ที่ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 300-400 บาท แม่เจ้า ต่างกันโคตรเยอะ แต่ไม่เป็นไร ซื้อไว้เป็นที่ระลึก เอาความรู้สึกเป็นที่ตั้ง อีกอย่าง ได้ของแถมเป็นผ้าขนหนูลิเวอร์พูลด้วย ฮ่าฮ่า
Shop ของลิเวอร์พูล มีของขายเยอะพอสมควร
 
เสื้อฟุตบอล มีทุก Size ตั้งแต่เด็กยันผู้ใหญ่

มีช็อกโกแล็ตตราลิเวอร์พูลด้วย กินแล้วจะร้อนแรง ฮ่า
แวบแรกผมคิดจะปักชื่อของสตีเวน เจอร์ราร์ด แต่ผมก็เปลี่ยนใจมาปักชื่อของดาวรุ่ง Raheem Sterling เพราะคิดว่าเค้าจะกลายเป็นตำนานของทีมในอนาคต (แต่ตอนนี้จะเผาเสื้อทิ้งละ ฮ่า) 

รายชื่อและเบอร์ของนักเตะลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ รวมถึงราคาค่าปัก
ซื้อของกันเสร็จเรียบร้อย พวกผมก็ออกมายืนกันอยู่หน้าสนามแอนฟิลด์ และปรึกษากันว่าจะไปไหนต่อดี เพื่อนผมก็เลยเสนอว่า ลองเดินไปดูสนามของเอฟเวอร์ตัน (Everton) มั้ย อยู่ไม่ไกลกันมาก (ทีมเอฟเวอร์ตันเป็นทีมร่วมเมืองของลิเวอร์พูล และเป็นสาเหตุที่เมืองลิเวอร์พูลไม่ใช่สีแดงทั้งเมือง) ผมก็อยากเห็นเหมือนกัน ก็เลยตกลงว่าจะไปที่สนามกูดิสันปาร์คของเอฟเวอร์ตันกันต่อ 

คุณรู้หรือไม่ สนามเอฟเวอร์ตันกับลิเวอร์พูลนั้นห่างกันเพียงแค่สวนสาธารณะกั้นเท่านั้นเอง... 

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Liverpool ที่รัก 12: Liverpool Football Club (ทัวร์สนาม)

สัญลักษณ์ของสโมสรลิเวอร์พูล
ผมยืนมองตราสัญลักษณ์ของลิเวอร์พูลด้วยความปลาบปลื้มปิติ นี่หรือคือสนามแอนฟิลด์ สนามฟุตบอลที่เราเคยเห็นแต่ในทีวี เคยเห็นนักเตะของลิเวอร์พูลลงเล่น เห็นแฟนบอลส่งเสียงเชียร์อย่างกึกก้อง สถานที่ตั้งของสโมสรฟุตบอลที่เราใฝ่ฝันอยากจะมาเหยียบสักครั้งในชีวิต วันนี้เรามาถึงแล้วนะโว้ยยย วู้วววว (แทบบ้าไปเลย) มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเลยจริงๆ คงจะมีแต่ชาวหงส์แดงอย่างเราๆเท่านั้นที่จะเข้าใจถึงความรู้สึกที่สุดขั้วนี้
มาถึงแล้วจ้าาา :)
น้ำตาของผมไหลออกมา 0.1 ml ทางหางตาด้วยความปลื้มปิติ (เว่อร์ป่ะ ฮ่า) สนามด้านที่รถเมลล์ผ่านนั้น เป็นฝั่งที่ชื่อ The Kop ซึ่งเป็นฝั่งหลังประตูฟุตบอลด้านหนึ่ง แฟนบอลลิเวอร์พูลพันธุ์แท้จะนั่งกันอยู่ที่ฝั่งนี้  ข้างหน้าสนามนั้นมีรูปปั้นของตำนานลิเวอร์พูลที่ชื่อ บิลล์ แชงค์ลี (Bill Shankly) ซึ่งเขาคือผู้จัดการทีมในตำนาน เป็นผู้วางรากฐานให้สโมสรลิเวอร์พูลให้กลายเป็นยอดทีมทีมหนึ่งของยุโรป เขาคุมทีมเมื่อปี 1959 และวางมือในอีก 14 ปีถัดมา ก่อนส่งต่อความสำเร็จให้ บ็อบ เพลสลีย์ เป็นผู้สานต่อ ทำให้ลิเวอร์พูลในยุคนั้นเป็นทีมที่สร้างความสั่นสะเทือนได้ทั้งในเกาะอังกฤษและยุโรป ด้วยเหตุนี้ ชาวลิเวอร์พูลจึงยกย่องบิลล์ แชงค์ลี เป็นอย่างมาก รูปปั้นของเขาจึงได้รับเกียรติให้ตั้งอยู่หน้าสนามแอนฟิลด์ ไม่ว่าใครมาเยือนที่นี่ก็จะได้เห็นอย่างแน่นอน
บิลล์ แชงค์ลี ปรมาจารย์ของลิเวอร์พูล
หลังจากดื่มด่ำกับความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาเหยียบสนามแอนฟิลด์แล้ว เพื่อนผมก็แนะนำว่าเค้ามีให้ทัวร์สนามด้วยนะ ซึ่งการทัวร์สนามก็คือ เราจ่ายเงินเค้า เค้าก็จะมีไกด์พาไปดูทุกซอกทุกมุม (เวอร์ไป แค่ที่สำคัญๆเท่านั้นแหละ) ของสนามลิเวอร์พูลภายในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งผมไม่พลาดอยู่แล้วล่ะ ตั้งใจแบกเงินมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ (ฮ่า) ซึ่งค่าทัวร์สนามนั้น ผู้ใหญ่ 17 ปอนด์ แต่หากอายุต่ำกว่า 16 ปีหรือมีบัตรนักเรียน ลดเหลือ 11 ปอนด์ ซึ่งผมและเพื่อนนั้นพกบัตรนักศึกษากันไว้ตลอดเวลาอยู่แล้ว เลยเสียกันคนละ 11 ปอนด์เท่านั้น หากใครได้มีโอกาสไปเยือนแอนฟิลด์ก็อย่าลืมไปทัวร์สนามกันด้วยนะ
ป้ายต้อนรับด้านหน้า มีภาษาไทยด้วยนะ !
ลืมบอกไปว่า การทัวร์สนามนี่มีหลายแบบนะ มีแบบที่ให้ตำนานนักเตะมาเป็นไกด์นำทัวร์ด้วย (แหงล่ะ ต้องแพงกว่าปกติ) หรือทัวร์สนามในวันที่มีการแข่งขัน ซึ่งไม่อาจเข้าไปในห้องแต่งตัวนักเตะได้ ใครสนใจต้องลองดูในเว็บไซต์ของลิเวอร์พูลเอานะ ส่วนคนที่ไม่คิดอะไรมากก็ไปหน้าสนามแล้วซื้อตั๋วได้เลย วันปกตินั้นคนก็ไม่เยอะอะไรเท่าไหร่
บริเวณเคาเตอร์สำหรับซื้อตั๋วทัวร์สนาม
เมื่อซื้อตั๋วเสร็จ พนักงานก็พาผมกับเพื่อนออกมาข้างนอก เขาเดินนำพวกผมไปยังอีกด้านของสนามเพื่อไปหาไกด์ (เหมือนว่าเค้าเริ่มทัวร์กันไปแล้วแป๊บนึง) นอกจากพวกผมก็ยังมีครอบครัวเล็กๆ อีกครอบครัวหนึ่งด้วย
ไปทัวร์สนามพร้อมกับครอบครัวนี้
เจ้าหน้าที่พาพวกผมไปยังอัฒจันทร์ฝั่งที่ชื่อว่า Main Stand ซึ่งเป็นฝั่งที่ซุ้มม้านั่งสำรองตั้งอยู่ (เป็นฝั่งของห้องแต่งตัวนั่นเอง) เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับห้องๆหนึ่งซึ่งเรียกว่า Club Guest Lounge โดยเป็นห้องที่มีรูปของตำนานนักเตะลิเวอร์พูลในยุคต่างๆติดตามฝาผนังเต็มไปหมด มีไกด์กำลังบรรยายภาพรวมความเป็นมาและเป็นไปของสโมสรลิเวอร์พูล ผมก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการถ่ายรูป ฮ่า
รูปของสุดยอดนักฟุตบอลในยุคต่างๆ (แค่ส่วนหนึ่ง)
ก่อนออกจากห้องนี้ไป ไกด์ก็ชี้ให้ดูถึงภาพรวมของสนามฟุตบอลแห่งนี้ ภาพรวมๆจริงๆ

ภาพรวม รวมภาพ ฮ่า
ห้องต่อไป คือห้องแถลงข่าว สำหรับห้องนี้ คุณๆอาจจะเคยเห็นตอนที่โค้ชกับนักเตะมานั่งแถลงข่าวหลังจบเกมการแข่งขัน เช่นว่าทำไมถึงชนะแมนยูได้อย่างง่ายดายหรือแพ้เละเทะให้กับเชลซีแบบนี้(อะไรทำนองนั้น) ห้องนี้เป็นห้องเล็กๆ มีเก้าอี้วางอยู่ไม่กี่ตัวสำหรับนักข่าว บางคนไม่มีที่ก็ยืนเอา และมีโต๊ะกับไมค์ให้โค้ชนั่งและตอบคำถามนักข่าว ไกด์บอกให้ฟังว่าห้องนี้เคยเป็นห้องเก็บรองเท้า หรือที่เรียกว่า Boot Room โดยในสมัยก่อนนั้น บิล แชงค์ลี ใช้ห้องนี้เป็นห้องสำหรับวางแผนและพูดคุยกับลูกทีม
ภาพบรรยากาศสมัยก่อนในห้องนี้

เก้าอี้ของนักข่าว โดนคณะทัวร์จับจองอยู่ในช่วงนี้
ในวันที่ผมไป รอบๆห้องนี้นั้นมีกระดาษของจริงวางอยู่ทั่วไป เป็นกระดาษที่ระบุรายชื่อนักเตะของทีมลิเวอร์พูล-ลูโดโกเรตส์ ที่แข่งขันกันในรายการ Uefa Champions League เมื่อวันที่ 16/9/2557 โดยลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 2-1 (ผมยังอยู่ไทยตอนนั้น) ซึ่งเอาไว้สำหรับแจกให้นักข่าวได้ทราบก่อนการแข่งขัน ไกด์บอกว่าคุณสามารถเอาไปได้นะ ผมเลยหยิบติดมาด้วย ถือเป็นของชิ้นแรกที่ได้จากสนามแอนฟิลด์ ฮ่า
หากผมเป็นโค้ช ผมก็จะมานั่งแถลงข่าวแบบนี้แหละ ^^
เมื่อถ่ายรูปกันจนหนำใจ ไกด์ก็พาไปยังห้องต่อไป ซึ่งห้องต่อไปก็คือห้องแต่งตัวของนักเตะนั่นเอง ห้องนี้ถือเป็นไฮไลด์สำหรับการทัวร์สนามเลยทีเดียว เพราะว่าเป็นห้องที่นักเตะและอดีตนักเตะลิเวอร์พูลมากมายจะต้องเข้ามาแต่งตัวก่อนลงสนาม รวมถึงปรึกษาแผนการซ้อมกับโค้ชทั้งก่อนแข่งและช่วงพักครึ่ง ห้องนี้เป็นห้องที่ไม่ใหญ่มากเช่นเคย มีเตียงยางสีแดงอยู่ตรงกลาง มีแผ่นกระดานสำหรับวางแผนให้โค้ชใช้เขียน มีตู้เย็นใส่น้ำเกลือแร่อยู่ที่มุมหนึ่ง และมีม้านั่งไม้ 3 ด้านสีแดง ด้านบนมีเสื้อของนักฟุตบอลแต่ละคนแขวนไว้ แสดงให้เห็นว่าแต่ละคนนั่งกันตรงไหนเวลาที่แข่งขันจริง
สภาพห้องโดยรวม ดูไม่ไฮโซอย่างที่คิดนะ ฮ่าฮ่า
จากรูป เป็นมุมมองในเวลาที่โค้ชยืนตรงกลางห้อง สมมุติว่ากำลังตะคอกด่านักเตะทุกคนที่เล่นห่วยแตก ผู้รักษาประตูและกองหลังจะนั่งสำนึกผิดอยู่ทางด้านซ้ายมือของโค้ช  
ผู้รักษาประตูและพวกกองหลังจะนั่งกันตรงนี้
ส่วนพวกกองกลาง ก็จะนั่งกันอยู่ตรงกลาง ประจันหน้ากับโค้ชเต็มๆ นำทีมโดยสตีเว่น เจอร์ราร์ด (เบอร์ 8)
พวกกองกลาง กองกันอยู่ตรงนี้
ส่วนพวกศูนย์หน้าหรือผู้ทำประตู จะอยู่ทางด้านขวามือของโค้ช

โคตรกองหน้าของลิเวอร์พูล (?) จะนั่งกันอยู่ที่นี่
การนั่งแบบนี้เป็นไปตามที่โค้ชคนปัจจุบันกำหนด (เบรนแดน ร็อดเจอร์ส) ซึ่งการที่โค้ชแต่ละคนก็จะกำหนดให้นักเตะนั่งตรงไหนนั้น ก็แตกต่างกันไปตามปรัชญาและความคิดของโค้ช

ไกด์ที่พาทัวร์ หล่อมั้ย ? พี่แกชอบเล่นมุกหน้านิ่ง (คือพูดให้ขำแต่ทำหน้านิ่งๆ)
ไกด์แกก็แพล่มไปตามหน้าที่ พวกเราคณะทัวร์ก็ฟังแกนะ แต่ว่าตาแต่ละคนนี่ไม่ได้มองกันอยู่ที่ไกด์เลย มองแต่เสื้อนักเตะที่ชอบ แอบถ่ายรูปไกด์บ้าง หรือทำอย่างอื่นกันตลอด เมื่อไกด์พูดเสร็จก็เปิดโอกาสให้ถ่ายรูปกันได้ตามสะดวก ซึ่งก็แน่นอน เสื้อของสตีเว่น เจอร์ราร์ดนั้น ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทุกๆคนมารุมจับเสื้อและถ่ายรูปคู่กับเสื้อไว้เป็นที่ระลึก คนเยอะจนต้องต่อคิวกันเลยทีเดียว
เสื้อของคนนี้ พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
--------------------------------------------------------
(เสริมในขณะเขียนบล็อก) - การที่สตีเว่น เจอร์ราร์ดได้ตัดสินใจย้ายออกจากลิเวอร์พูลไปเล่นในลีกของอเมริกาหลังจากจบฤดูกาล 2014-2015 ทำให้คุณจะไม่ได้เห็นเสื้อของเจอร์ราร์ดถูกแขวนอยู่ในห้องแต่งตัว ณ ที่นี้อีกนับจากนี้ต่อไป สำหรับผมนั้น ถือว่าโชคดีมากที่ยังได้มีโอกาสได้เข้ามาถ่ายรูปกับเสื้อของเจอร์ราร์ดในห้องแต่งตัวในฤดูกาลสุดท้ายของเขากับลิเวอร์พูล (พูดแล้วเศร้า ฮือ)
--------------------------------------------------------

ไกด์พาไปดูห้องแต่งตัวของทีมเยือนที่อยู่เยื้องไปอีกด้านนึง พอเข้าไปปุ๊บ จากที่เห็นว่าห้องแต่งตัวของลิเวอร์พูลโลโซแล้ว ห้องแต่งตัวของทีมเยือนที่ยิ่งกว่า มันไม่มีอะไรเลย เป็นห้องแคบๆ มีแค่ม้านั่งยาวๆ แค่นั้นเอง (อาจเป็นแผนให้ทีมเยือนหงุดหงิดและสติแตก ฮ่า) ผนังห้องติดข้อมูลเกี่ยวกับการแข่งขันนัดสำคัญๆกับทีมใหญ่ที่ลิเวอร์พูลเอาชนะได้ เช่น รีล มาดริด หรือ บาร์เซโลน่า
แผ่นป้ายข้อมูลบ่งบอกว่าเคยชนะใครมาบ้างที่สำคัญๆ ฮ่าฮ่า
เมื่อเดินออกมาจากห้องแต่งตัวของทีมเยือนนั้น จะพบว่า บรรยากาศตามรายทางจะเป็นสีแดงไปหมด (เหมือนกับจะข่มขวัญไรงี้) มองไปข้างหน้าก็จะเห็นตราสโมสรลิเวอร์พูลขนาดใหญ่ตระหง่านอยู่ตรงบริเวณก่อนทางออกไปสู่สนาม

บรรยากาศด้านหน้าห้องแต่งตัวทีมเยือน

ทีมเยือนออกมาจากห้องปุ๊บ ก็จะเจอสัญลักษณ์นี้ปั๊บ
จากนั้น ก็จะถึงส่วนที่สำคัญที่สุด ที่ชาวหงส์แดงทุกคนใฝ่ฝัน นั่นคือ ป้าย This is Anfield ที่ทุกคนฝันเอาไว้ว่าจะต้องมาแตะมือกับป้ายนี้สักครั้งนึงในชีวิต ซึ่งป้ายนี้เป็นป้ายเดียวกับที่ตำนานนักเตะลิเวอร์พูลทุกคนเคยได้สัมผัส และเป็นป้ายเดียวกับที่เวลาคู่แข่งเห็นแล้วจะรู้สึกหวั่นเกรง (ในสมัยก่อนน่ะนะ แต่สมัยนี้ไม่รู้จะยังเกรงกันอยู่ป่าว ฮ่า)
ได้แตะสักครั้ง จะตั้งใจเรียน ฮ่าฮ่า ฝันเป็นจริงแล้ว
เกร็ดเล็กๆสำหรับป้ายนี้ ขอบอกว่าป้ายนี้อยู่สูงพอสมควร ขนาดผมสูง 170 cm ก็ยังต้องเขย่งนิดหน่อยเพื่อให้แตะได้เต็มๆมือ หากจะกระโดดเอามือแตะก็พอได้แต่ต้องระวังหน้าคะมำ เพราะว่าพื้นมันยังเป็นบันไดอยู่ และจริงๆแล้วป้ายนี้อาจเป็นศูนย์รวมของเชื้อโรคจากทั่วโลกก็ได้นะ เพราะว่าใครมาก็ต้องมาแตะ ฮ่าฮ่า (แซว) ยังไงก็ตาม ผมถือว่าเป็นบุญมือมากที่ได้มาแตะและเดินลอดป้ายอันศักดิ์สิทธิ์นี้

เขย่งเพื่อแตะ ฮ่าฮ่า
จากนั้น ไกด์ก็เรียกให้เดินลอดอุโมงค์นี้ไป เสียงเชียร์จำลองของแฟนบอลดังกระหึ่ม (สร้างบรรยากาศได้ดีมาก)  พ้นจากอุโมงค์ คุณก็จะพบว่า คุณกำลังยืนอยู่ในสนาม Anfield...