วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Liverpool ที่รัก 12: Liverpool Football Club (ทัวร์สนาม)

สัญลักษณ์ของสโมสรลิเวอร์พูล
ผมยืนมองตราสัญลักษณ์ของลิเวอร์พูลด้วยความปลาบปลื้มปิติ นี่หรือคือสนามแอนฟิลด์ สนามฟุตบอลที่เราเคยเห็นแต่ในทีวี เคยเห็นนักเตะของลิเวอร์พูลลงเล่น เห็นแฟนบอลส่งเสียงเชียร์อย่างกึกก้อง สถานที่ตั้งของสโมสรฟุตบอลที่เราใฝ่ฝันอยากจะมาเหยียบสักครั้งในชีวิต วันนี้เรามาถึงแล้วนะโว้ยยย วู้วววว (แทบบ้าไปเลย) มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเลยจริงๆ คงจะมีแต่ชาวหงส์แดงอย่างเราๆเท่านั้นที่จะเข้าใจถึงความรู้สึกที่สุดขั้วนี้
มาถึงแล้วจ้าาา :)
น้ำตาของผมไหลออกมา 0.1 ml ทางหางตาด้วยความปลื้มปิติ (เว่อร์ป่ะ ฮ่า) สนามด้านที่รถเมลล์ผ่านนั้น เป็นฝั่งที่ชื่อ The Kop ซึ่งเป็นฝั่งหลังประตูฟุตบอลด้านหนึ่ง แฟนบอลลิเวอร์พูลพันธุ์แท้จะนั่งกันอยู่ที่ฝั่งนี้  ข้างหน้าสนามนั้นมีรูปปั้นของตำนานลิเวอร์พูลที่ชื่อ บิลล์ แชงค์ลี (Bill Shankly) ซึ่งเขาคือผู้จัดการทีมในตำนาน เป็นผู้วางรากฐานให้สโมสรลิเวอร์พูลให้กลายเป็นยอดทีมทีมหนึ่งของยุโรป เขาคุมทีมเมื่อปี 1959 และวางมือในอีก 14 ปีถัดมา ก่อนส่งต่อความสำเร็จให้ บ็อบ เพลสลีย์ เป็นผู้สานต่อ ทำให้ลิเวอร์พูลในยุคนั้นเป็นทีมที่สร้างความสั่นสะเทือนได้ทั้งในเกาะอังกฤษและยุโรป ด้วยเหตุนี้ ชาวลิเวอร์พูลจึงยกย่องบิลล์ แชงค์ลี เป็นอย่างมาก รูปปั้นของเขาจึงได้รับเกียรติให้ตั้งอยู่หน้าสนามแอนฟิลด์ ไม่ว่าใครมาเยือนที่นี่ก็จะได้เห็นอย่างแน่นอน
บิลล์ แชงค์ลี ปรมาจารย์ของลิเวอร์พูล
หลังจากดื่มด่ำกับความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาเหยียบสนามแอนฟิลด์แล้ว เพื่อนผมก็แนะนำว่าเค้ามีให้ทัวร์สนามด้วยนะ ซึ่งการทัวร์สนามก็คือ เราจ่ายเงินเค้า เค้าก็จะมีไกด์พาไปดูทุกซอกทุกมุม (เวอร์ไป แค่ที่สำคัญๆเท่านั้นแหละ) ของสนามลิเวอร์พูลภายในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งผมไม่พลาดอยู่แล้วล่ะ ตั้งใจแบกเงินมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ (ฮ่า) ซึ่งค่าทัวร์สนามนั้น ผู้ใหญ่ 17 ปอนด์ แต่หากอายุต่ำกว่า 16 ปีหรือมีบัตรนักเรียน ลดเหลือ 11 ปอนด์ ซึ่งผมและเพื่อนนั้นพกบัตรนักศึกษากันไว้ตลอดเวลาอยู่แล้ว เลยเสียกันคนละ 11 ปอนด์เท่านั้น หากใครได้มีโอกาสไปเยือนแอนฟิลด์ก็อย่าลืมไปทัวร์สนามกันด้วยนะ
ป้ายต้อนรับด้านหน้า มีภาษาไทยด้วยนะ !
ลืมบอกไปว่า การทัวร์สนามนี่มีหลายแบบนะ มีแบบที่ให้ตำนานนักเตะมาเป็นไกด์นำทัวร์ด้วย (แหงล่ะ ต้องแพงกว่าปกติ) หรือทัวร์สนามในวันที่มีการแข่งขัน ซึ่งไม่อาจเข้าไปในห้องแต่งตัวนักเตะได้ ใครสนใจต้องลองดูในเว็บไซต์ของลิเวอร์พูลเอานะ ส่วนคนที่ไม่คิดอะไรมากก็ไปหน้าสนามแล้วซื้อตั๋วได้เลย วันปกตินั้นคนก็ไม่เยอะอะไรเท่าไหร่
บริเวณเคาเตอร์สำหรับซื้อตั๋วทัวร์สนาม
เมื่อซื้อตั๋วเสร็จ พนักงานก็พาผมกับเพื่อนออกมาข้างนอก เขาเดินนำพวกผมไปยังอีกด้านของสนามเพื่อไปหาไกด์ (เหมือนว่าเค้าเริ่มทัวร์กันไปแล้วแป๊บนึง) นอกจากพวกผมก็ยังมีครอบครัวเล็กๆ อีกครอบครัวหนึ่งด้วย
ไปทัวร์สนามพร้อมกับครอบครัวนี้
เจ้าหน้าที่พาพวกผมไปยังอัฒจันทร์ฝั่งที่ชื่อว่า Main Stand ซึ่งเป็นฝั่งที่ซุ้มม้านั่งสำรองตั้งอยู่ (เป็นฝั่งของห้องแต่งตัวนั่นเอง) เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับห้องๆหนึ่งซึ่งเรียกว่า Club Guest Lounge โดยเป็นห้องที่มีรูปของตำนานนักเตะลิเวอร์พูลในยุคต่างๆติดตามฝาผนังเต็มไปหมด มีไกด์กำลังบรรยายภาพรวมความเป็นมาและเป็นไปของสโมสรลิเวอร์พูล ผมก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการถ่ายรูป ฮ่า
รูปของสุดยอดนักฟุตบอลในยุคต่างๆ (แค่ส่วนหนึ่ง)
ก่อนออกจากห้องนี้ไป ไกด์ก็ชี้ให้ดูถึงภาพรวมของสนามฟุตบอลแห่งนี้ ภาพรวมๆจริงๆ

ภาพรวม รวมภาพ ฮ่า
ห้องต่อไป คือห้องแถลงข่าว สำหรับห้องนี้ คุณๆอาจจะเคยเห็นตอนที่โค้ชกับนักเตะมานั่งแถลงข่าวหลังจบเกมการแข่งขัน เช่นว่าทำไมถึงชนะแมนยูได้อย่างง่ายดายหรือแพ้เละเทะให้กับเชลซีแบบนี้(อะไรทำนองนั้น) ห้องนี้เป็นห้องเล็กๆ มีเก้าอี้วางอยู่ไม่กี่ตัวสำหรับนักข่าว บางคนไม่มีที่ก็ยืนเอา และมีโต๊ะกับไมค์ให้โค้ชนั่งและตอบคำถามนักข่าว ไกด์บอกให้ฟังว่าห้องนี้เคยเป็นห้องเก็บรองเท้า หรือที่เรียกว่า Boot Room โดยในสมัยก่อนนั้น บิล แชงค์ลี ใช้ห้องนี้เป็นห้องสำหรับวางแผนและพูดคุยกับลูกทีม
ภาพบรรยากาศสมัยก่อนในห้องนี้

เก้าอี้ของนักข่าว โดนคณะทัวร์จับจองอยู่ในช่วงนี้
ในวันที่ผมไป รอบๆห้องนี้นั้นมีกระดาษของจริงวางอยู่ทั่วไป เป็นกระดาษที่ระบุรายชื่อนักเตะของทีมลิเวอร์พูล-ลูโดโกเรตส์ ที่แข่งขันกันในรายการ Uefa Champions League เมื่อวันที่ 16/9/2557 โดยลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 2-1 (ผมยังอยู่ไทยตอนนั้น) ซึ่งเอาไว้สำหรับแจกให้นักข่าวได้ทราบก่อนการแข่งขัน ไกด์บอกว่าคุณสามารถเอาไปได้นะ ผมเลยหยิบติดมาด้วย ถือเป็นของชิ้นแรกที่ได้จากสนามแอนฟิลด์ ฮ่า
หากผมเป็นโค้ช ผมก็จะมานั่งแถลงข่าวแบบนี้แหละ ^^
เมื่อถ่ายรูปกันจนหนำใจ ไกด์ก็พาไปยังห้องต่อไป ซึ่งห้องต่อไปก็คือห้องแต่งตัวของนักเตะนั่นเอง ห้องนี้ถือเป็นไฮไลด์สำหรับการทัวร์สนามเลยทีเดียว เพราะว่าเป็นห้องที่นักเตะและอดีตนักเตะลิเวอร์พูลมากมายจะต้องเข้ามาแต่งตัวก่อนลงสนาม รวมถึงปรึกษาแผนการซ้อมกับโค้ชทั้งก่อนแข่งและช่วงพักครึ่ง ห้องนี้เป็นห้องที่ไม่ใหญ่มากเช่นเคย มีเตียงยางสีแดงอยู่ตรงกลาง มีแผ่นกระดานสำหรับวางแผนให้โค้ชใช้เขียน มีตู้เย็นใส่น้ำเกลือแร่อยู่ที่มุมหนึ่ง และมีม้านั่งไม้ 3 ด้านสีแดง ด้านบนมีเสื้อของนักฟุตบอลแต่ละคนแขวนไว้ แสดงให้เห็นว่าแต่ละคนนั่งกันตรงไหนเวลาที่แข่งขันจริง
สภาพห้องโดยรวม ดูไม่ไฮโซอย่างที่คิดนะ ฮ่าฮ่า
จากรูป เป็นมุมมองในเวลาที่โค้ชยืนตรงกลางห้อง สมมุติว่ากำลังตะคอกด่านักเตะทุกคนที่เล่นห่วยแตก ผู้รักษาประตูและกองหลังจะนั่งสำนึกผิดอยู่ทางด้านซ้ายมือของโค้ช  
ผู้รักษาประตูและพวกกองหลังจะนั่งกันตรงนี้
ส่วนพวกกองกลาง ก็จะนั่งกันอยู่ตรงกลาง ประจันหน้ากับโค้ชเต็มๆ นำทีมโดยสตีเว่น เจอร์ราร์ด (เบอร์ 8)
พวกกองกลาง กองกันอยู่ตรงนี้
ส่วนพวกศูนย์หน้าหรือผู้ทำประตู จะอยู่ทางด้านขวามือของโค้ช

โคตรกองหน้าของลิเวอร์พูล (?) จะนั่งกันอยู่ที่นี่
การนั่งแบบนี้เป็นไปตามที่โค้ชคนปัจจุบันกำหนด (เบรนแดน ร็อดเจอร์ส) ซึ่งการที่โค้ชแต่ละคนก็จะกำหนดให้นักเตะนั่งตรงไหนนั้น ก็แตกต่างกันไปตามปรัชญาและความคิดของโค้ช

ไกด์ที่พาทัวร์ หล่อมั้ย ? พี่แกชอบเล่นมุกหน้านิ่ง (คือพูดให้ขำแต่ทำหน้านิ่งๆ)
ไกด์แกก็แพล่มไปตามหน้าที่ พวกเราคณะทัวร์ก็ฟังแกนะ แต่ว่าตาแต่ละคนนี่ไม่ได้มองกันอยู่ที่ไกด์เลย มองแต่เสื้อนักเตะที่ชอบ แอบถ่ายรูปไกด์บ้าง หรือทำอย่างอื่นกันตลอด เมื่อไกด์พูดเสร็จก็เปิดโอกาสให้ถ่ายรูปกันได้ตามสะดวก ซึ่งก็แน่นอน เสื้อของสตีเว่น เจอร์ราร์ดนั้น ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทุกๆคนมารุมจับเสื้อและถ่ายรูปคู่กับเสื้อไว้เป็นที่ระลึก คนเยอะจนต้องต่อคิวกันเลยทีเดียว
เสื้อของคนนี้ พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
--------------------------------------------------------
(เสริมในขณะเขียนบล็อก) - การที่สตีเว่น เจอร์ราร์ดได้ตัดสินใจย้ายออกจากลิเวอร์พูลไปเล่นในลีกของอเมริกาหลังจากจบฤดูกาล 2014-2015 ทำให้คุณจะไม่ได้เห็นเสื้อของเจอร์ราร์ดถูกแขวนอยู่ในห้องแต่งตัว ณ ที่นี้อีกนับจากนี้ต่อไป สำหรับผมนั้น ถือว่าโชคดีมากที่ยังได้มีโอกาสได้เข้ามาถ่ายรูปกับเสื้อของเจอร์ราร์ดในห้องแต่งตัวในฤดูกาลสุดท้ายของเขากับลิเวอร์พูล (พูดแล้วเศร้า ฮือ)
--------------------------------------------------------

ไกด์พาไปดูห้องแต่งตัวของทีมเยือนที่อยู่เยื้องไปอีกด้านนึง พอเข้าไปปุ๊บ จากที่เห็นว่าห้องแต่งตัวของลิเวอร์พูลโลโซแล้ว ห้องแต่งตัวของทีมเยือนที่ยิ่งกว่า มันไม่มีอะไรเลย เป็นห้องแคบๆ มีแค่ม้านั่งยาวๆ แค่นั้นเอง (อาจเป็นแผนให้ทีมเยือนหงุดหงิดและสติแตก ฮ่า) ผนังห้องติดข้อมูลเกี่ยวกับการแข่งขันนัดสำคัญๆกับทีมใหญ่ที่ลิเวอร์พูลเอาชนะได้ เช่น รีล มาดริด หรือ บาร์เซโลน่า
แผ่นป้ายข้อมูลบ่งบอกว่าเคยชนะใครมาบ้างที่สำคัญๆ ฮ่าฮ่า
เมื่อเดินออกมาจากห้องแต่งตัวของทีมเยือนนั้น จะพบว่า บรรยากาศตามรายทางจะเป็นสีแดงไปหมด (เหมือนกับจะข่มขวัญไรงี้) มองไปข้างหน้าก็จะเห็นตราสโมสรลิเวอร์พูลขนาดใหญ่ตระหง่านอยู่ตรงบริเวณก่อนทางออกไปสู่สนาม

บรรยากาศด้านหน้าห้องแต่งตัวทีมเยือน

ทีมเยือนออกมาจากห้องปุ๊บ ก็จะเจอสัญลักษณ์นี้ปั๊บ
จากนั้น ก็จะถึงส่วนที่สำคัญที่สุด ที่ชาวหงส์แดงทุกคนใฝ่ฝัน นั่นคือ ป้าย This is Anfield ที่ทุกคนฝันเอาไว้ว่าจะต้องมาแตะมือกับป้ายนี้สักครั้งนึงในชีวิต ซึ่งป้ายนี้เป็นป้ายเดียวกับที่ตำนานนักเตะลิเวอร์พูลทุกคนเคยได้สัมผัส และเป็นป้ายเดียวกับที่เวลาคู่แข่งเห็นแล้วจะรู้สึกหวั่นเกรง (ในสมัยก่อนน่ะนะ แต่สมัยนี้ไม่รู้จะยังเกรงกันอยู่ป่าว ฮ่า)
ได้แตะสักครั้ง จะตั้งใจเรียน ฮ่าฮ่า ฝันเป็นจริงแล้ว
เกร็ดเล็กๆสำหรับป้ายนี้ ขอบอกว่าป้ายนี้อยู่สูงพอสมควร ขนาดผมสูง 170 cm ก็ยังต้องเขย่งนิดหน่อยเพื่อให้แตะได้เต็มๆมือ หากจะกระโดดเอามือแตะก็พอได้แต่ต้องระวังหน้าคะมำ เพราะว่าพื้นมันยังเป็นบันไดอยู่ และจริงๆแล้วป้ายนี้อาจเป็นศูนย์รวมของเชื้อโรคจากทั่วโลกก็ได้นะ เพราะว่าใครมาก็ต้องมาแตะ ฮ่าฮ่า (แซว) ยังไงก็ตาม ผมถือว่าเป็นบุญมือมากที่ได้มาแตะและเดินลอดป้ายอันศักดิ์สิทธิ์นี้

เขย่งเพื่อแตะ ฮ่าฮ่า
จากนั้น ไกด์ก็เรียกให้เดินลอดอุโมงค์นี้ไป เสียงเชียร์จำลองของแฟนบอลดังกระหึ่ม (สร้างบรรยากาศได้ดีมาก)  พ้นจากอุโมงค์ คุณก็จะพบว่า คุณกำลังยืนอยู่ในสนาม Anfield...

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Liverpool ที่รัก 11: วันที่ความฝันเป็นจริง

1 ตุลาคม 2557

ผมตื่นมา ดูนาฬิกาแล้วยังไม่แปดโมง ซึ่งผิดวิสัยคนอย่างผมมาก (ปกติตื่น 10 โมง ฮ่า) เรื่องของเรื่องคือผมยังไม่ชินกับเวลานัก พอตอนหัวค่ำก็ง่วงนอนเสียแล้ว อีกอย่างกลางคืนก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยนอนเร็ว ส่งผลให้ตื่นเช้า (จริงๆแล้วผมนอนไปประมาณ 10 ชั่วโมง ฮ่า)

ขอบอกว่าตอนกลางคืนนี่หนาวมาก ชุดนอนของผมคือใส่กางเกงวอร์มและเสื้อแขนยาว (มีเสื้อยืดข้างในอีกตัว) ใส่ถุงเท้าด้วย ผ้าห่มที่เค้าให้มานี่เหมือนผ้านวมที่ยัดนุ่นไม่เต็มอ่ะ มันเลยไม่ให้ความอบอุ่นขนาดนั้น ส่วนฮีทเตอร์ก็ตัดบ่อย (มันไม่ได้ทำงานทั้งคืน) ส่วนหน้าต่างผมก็แง้มไว้นิดๆ (ให้อากาศมันได้ระบาย เดี๋ยวขาดอากาศตายซะก่อน) ในช่วงนี้อุณหภูมิตอนกลางคืนก็ประมาณ 11-12 องศา ก็ถือว่าหนาวนะสำหรับคนไม่เคย เคยอยู่แต่อุณหภูมิ 30 องศาบวกเป็นปกติ (ฮ่า)

เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างแจ่มใส อากาศเย็นเช่นเคย แต่แดดดูแรงเลยทีเดียว บริเวณหอค่อนข้างเงียบสงบนะ นานๆทีถึงจะมีนักเรียนเดินออกไปจากหอ ซึ่งรูปข้างล่างนี่เป็นวิวที่มองจากหน้าต่างห้องของผม และนี่จะเป็นวิวที่ผมคุ้นเคยที่สุดตลอดการใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองลิเวอร์พูลแห่งนี้
วิวที่คุ้นเคย วันนี้แดดแรง
ตื่นมาได้สักพัก ผมก็ลงมือเขียนจดหมายที่ค้างอยู่จากเมื่อคืนให้เสร็จ คือผมสัญญากับแม่ไว้ว่าจะเขียนจดหมายมาหาหลังจากที่ไปถึงอังกฤษแล้ว ในจดหมายผมก็สาธยายความลำบากของการเดินทางให้แม่ฟัง (อ้อนนั่นเอง ฮ่าฮ่า) ผมเขียนเสร็จแล้วก็เอาใส่กระเป๋าพร้อมกับโปสการ์ดอีก 3 ใบ (สอยมาจากการเดินเที่ยวเมื่อวานนี้) เพื่อไปซื้อซองมาใส่ก่อนจะไปส่งที่ไปรษณีย์
จดหมายและโปสการ์ด เตรียมพร้อมส่งถึงแม่ ^^

ก่อนอื่น ผมจะแนะนำเพื่อนคนแรกที่นี่ให้รู้จัก เพื่อนผมคนนี้ชื่อว่า แปง เป็นคนไทยที่มาเรียนต่อที่นี่เพราะความชอบลิเวอร์พูลล้วนๆ (คล้ายๆผมเนี่ยแหละ ฮ่า) รุ่นราวคราวเดียวกับผม ผมได้รู้จักกับเค้าก็เพราะว่า เค้าเป็นคนขายตั๋วฟุตบอลของลิเวอร์พูล (ผมหาตั๋วได้ก็เพราะเค้านี่ล่ะ อิอิ) ซึ่งในวันนี้ เค้าจะพาผมไปซื้อซิมโทรศัพท์เพื่อเอาไว้ใช้เล่นเน็ทและโทรกลับไทยได้ด้วย และหลังจากนั้น เราจะไปแอนฟิลด์กัน

ผมนัดเจอกับเพื่อนบริเวณน้ำพุที่ Williamson Square (ที่ผมเคยมาแล้วเมื่อวันก่อน) ผมเพิ่งสังเกตุเห็นว่ามี Shop อย่างเป็นทางการของลิเวอร์พูลตั้งอยู่บริเวณนี้ด้วย (วันแรกที่มานั้นไม่ได้สังเกต ฮ่า) มองดูข้างนอกก็ดูเหมือนมีของขายเยอะอยู่นะ แต่วันนี้ยังไม่มีเวลาได้เข้าไปดู 
Shop อย่างเป็นทางการของลิเวอร์พูลแห่งหนึ่งในเมืองนี้
สักพักผมก็ได้เจอกับเพื่อน เราก็เลยเดินไปซื้อซิมกัน ระหว่างทางผมก็พบกับโชว์หนึ่ง ซึ่งเป็นโชว์แบบเปิดหมวก (คือแสดงให้คนดู คนดูจะบริจาคเงินให้หรือไม่ก็ได้) เป็นโชว์เกี่ยวกับการเต้น คือมี 2 คนเต้นถอดเสื้อ แล้วก็ใส่หน้ากากคนดัง จากนั้นก็เต้นตามเพลงทำท่าตลกๆอะไรประมาณนั้น เสียดายที่ผมจำไม่ได้ว่าหน้ากากนั้นคือใคร ถ้ารู้ว่าเป็นใครอาจจะฮากว่านี้ (ฮ่า) ผมเลยผ่านโชว์นี้ไป ไม่ได้ให้ตังค์ อิอิ
เต้นกันเข้าไป ถอดเสื้อด้วย ท้าความหนาวดีแท้
ผมและเพื่อนไปซื้อซิมที่ Shop แห่งหนึ่ง ซึ่งซิมที่ผมใช้นั้นเป็นของเครือข่าย EE (ในอังกฤษมีอยู่หลายเครือข่าย บางเครือข่ายแจกซิมฟรีด้วย แต่เพื่อนแนะนำอันนี้เพราะว่าเพื่อนใช้อยู่และค่อนข้างโอเค) โดยผมเลือกใช้โปรที่จ่าย 10 ปอนด์ อยู่ได้ 1 เดือน ส่ง massage  ได้ไม่จำกัด โทรฟรี 150 นาที และเล่นเน็ทได้ 500 Mb และสามารถโทรกลับไทยได้ในราคานาทีละ 3 p ( ประมาณ 1.50 บาท) 

ผมโทรกลับบ้านไปหาพ่อในทันที การโทรกลับไทยต้องกด +66 แทนเลข 0 นะ จากนั้นก็กดเบอร์มือถือปกติ พ่อรับสายแบบงงๆ พอรู้ว่าเป็นผมก็ดูตื่นเต้นมาก แน่ล่ะ ลูกโทรข้ามโลกมาหานี่นา (ฮ่า) คุยกันแป๊บนึงก็วางไปก่อน เพราะผมมีภาระกิจที่สำคัญต้องไปทำ อิอิ

ก่อนอื่น กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ต้องไปกินข้าวกันก่อน  เพื่อนผมพาไปร้านหนึ่งที่ชื่อว่า Big Bow ร้านนี้เป็นร้านที่ขายอาหารสไตล์เอเชีย แบบว่าข้าวหมูทอดไก่ทอด หรือข้าวมันไก่ก็มี ซึ่งจะเสิร์ฟในจานหรือชามที่ใหญ่มาก (จึงเป็นที่มาของชื่อร้าน) ผมสั่งอะไรสักอย่าง ลองจิ้มๆเลือกไป ปรากฏว่าได้ข้าวหมูทอดราดซอส (ประมาณนั้น) มันเยอะมากจริงๆ ขนาดผมเป็นคนกินจุ ยังต้องขอกล่องเค้าเอามาใส่ข้าว เก็บไว้กินมื้อเย็นต่อ (งกป่ะล่ะ ฮ่า) รสชาติอาหารก็ใช้ได้นะ ถูกปากชาวเอเชียอย่างเราๆ มื้อนี้โดนไปประมาณ 7 ปอนด์ ( ประมาณ 350 บาท)

ดูเหมือนว่าร้านนี้นั้น คนไทยทุกๆคนจะรู้จักกันดี หากคุณๆท่านๆได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองลิเวอร์พูล ลองไปตามหาร้านนี้ดู ร้านนี้อยู่แถวๆโบสต์ที่โดนระเบิด (Bomb Church) (ไว้จะเอารูปมาลง) เสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายรูปร้านเอาไว้ แต่รับรอง หาไม่ยาก

ผมบอกไว้ตอนต้นว่า เมื่อเช้าอากาศดีแดดแรงใช่มั้ย ตอนนี้ประมาณเที่ยง ปรากฏว่าเมฆเต็มฟ้า ฝนตกลงมาตลอดเวลา นี่แหละอากาศแบบอังกฤษ คุณจะไม่สามารถคาดเดาได้สักเท่าไรว่าอากาศจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวแดดออกเดี๋ยวลมแรงเดี๋ยวฝนตก ไม่แน่นอนจริงๆ ทางที่ดีคือควรติดตามสภาพอากาศอยู่ตลอดเวลา จะได้เตรียมตัวไว้พร้อมในระดับนึง

ผมสังเกตุเห็นความแปลกอย่างนึงคือ คนที่นี่ไม่ค่อยใช้ร่ม เค้ามักจะใส่เสื้อโค้ทที่หนาๆและกันฝนได้ หรือไม่ก็เป็นแบบฮู้ดที่มีหมวก เดินลุยดุ่ยๆกันกลางฝนแบบไม่กลัวเปียกเลย เหตุผลนึงอาจเป็นเพราะว่าฝนที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทย เป็นฝนเม็ดเล็ก บางทีก็คล้ายๆละอองน้ำ และมักตกไม่ค่อยนาน เดี๋ยวก็หยุด คนก็เลยไม่ค่อยใช้ร่ม เพราะคิดว่าชุดเปียกนิดเดียว เดี๋ยวก็คงแห้ง  

กินข้าวเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทางแล้ว การไปแอนฟิลด์นั้น ไปได้หลายทาง เพื่อนผมพานั่งรถเมลล์ โดยผมไปขึ้นรถเมลล์กันที่ Station ที่เรียกว่า Queen Square เป็นรถเมลล์ของบริษัท Arriva สาย 17 ค่ารถเมลล์ไปกลับ 3.8 ปอนด์ 

รถเมลล์สาย 17 วิ่งออกไปทางทิศเหนือของเมือง ลัดเลาะไปตามถนน จอดบ้างตามป้ายข้างทางเพียงไม่นานประมาณ 20 นาที ผมก็เห็นสนาม Anfield ของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลตั้งตะหง่านอยู่ตรงหน้า ความฝันของผมกำลังจะกลายเป็นจริง

และแล้ว ผมก็ได้มายืนอยู่หน้าสนามฟุตบอลของหนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก...

Anfield Stadium of Liverpool Football Club 

Welcome to ANFIELD STADIUM !!
Welcome to Liverpool Football Club !!

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Liverpool ที่รัก 10: วันแรกในลิเวอร์พูล 4 (จบวันแรก)

Museum of Liverpool  วันนี้แค่ผ่านไปก่อน
ผมเดินลัดเลาะทางเดินริมแม่น้ำ ผ่าน Museum of Liverpool ซึ่งวันนี้เย็นมากแล้วก็เลยปิด (ปิด5โมงเย็น) วันนี้ก็เลยต้องผ่านตึกรูปทรงแปลกๆนี้ไปก่อน ระหว่างทาง ผมสังเกตุว่ารั้วที่กั้นไม่ให้คนเข้าใกล้แม่น้ำมากเกินไปนั้น มีกุญแจแห่งความรักล็อกอยู่หลายคู่ (ทำยังกะเกาหลี) แต่ไม่ได้เยอะจนขนาดเต็มพรืดไปทั้งรั้วนะ นึกในใจว่าแปลกดี ไว้จะมาทำมั่ง (ฮ่า)

กุญแจแห่งความรัก หวานซะ !
ระหว่างทางยังมีของน่าสนใจอีกอย่างนึงก็คือ รูปปั้นสัตว์อย่างนึง ที่มีชื่อเรียกว่า Superlambanana ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่าง Lamp และ Banana (สินค้าที่ถูกส่งมาที่เมืองนี้เป็นจำนวนมากในสมัยก่อน) โดยในปี 2008 นั้น เมืองลิเวอร์พูล ได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรป หุ่นของเจ้าพวกนี้เลยถูกสร้างขึ้นแล้ววางไว้ทั่วเมืองลิเวอร์พูล (ไว้ถ้าเจอจะเอารูปมาลงอีก) แต่ละตัวก็จะมีลายหลากหลายรูปแบบกันไป (แต่ห้ามขึ้นไปขี่เล่นนะ โดนจับ)
Superlambanana มีหลายแบบเลย
Superlambanana อีกแบบหนึ่ง เท่ดีนะ
ผมเดินมาจนถึงบริเวณที่เรียกว่า Albert Dock แล้ว อัลเบิร์ต ด๊อกคืออะไร ?  (ไม่ใช่หมานะ)  อัลเบิร์ต ด๊อก ก็คือโกดังเก็บสินค้าและเป็นอู่จอดเรือสำหรับขนส่งสินค้าในสมัยก่อน สร้างขึ้นในปี 1841 โดยสร้างจากเหล็กหล่อ อิฐ และหิน ซึ่งเป็นตึกแรกในอังกฤษเลยที่ไม่ใช้ไม้เป็นองค์ประกอบของอาคาร (ว้าว) ตึกสีแดงๆส้มๆนี้เป็นที่รองรับสินค้าต่างๆ อาทิ ชา กาแฟ ผ้าไหม ฝ้าย ในสมัยรุ่งเรือง ก่อนจะโดนระเบิดไปบ้างในช่วงสงครามโลก และหลังจากนั้นก็ไม่ได้ใช้ในด้านการขนส่งสินค้าอีกเลย
อาคารเก่าบริเวณริมน้ำ ด้านหลังนู่นคืออัลเบิร์ต ด็อก
ทุกวันนี้ อัลเบิร์ต ด๊อก คือสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของลิเวอร์พูล ใครมาที่เมืองนี้ก็ต้องมาแวะที่นี่ด้วย ด้วยสภาพของตึกที่ดูเก่าแก่ มีเรือแบบโบราณจอดอยู่ทั่วไป มีคาเฟ่เล็กๆให้นั่งจิบชากาแฟหรือหม่ำฟิชแอนชิฟอย่างสบายใจ มีร้านขายของที่ระลึกเยอะมากตรงนี้ นอกจากนี้ยังมี Merseyside Maritime Museum ที่เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับทะเลของลิเวอร์พูล(ไว้จะมาเล่าว่ามีอะไรบ้าง) และ Tate Gallory  สาขาลิเวอร์พูล ที่รวมงานศิลปะมากมายมาให้ดูชม ตั้งอยู่บริเวณนี้ด้วย
Albert Dock ในมุมที่คุ้นเคย

Albert Dock ด้าน Merseyside Maritime Museum และผับชื่อ The Pump House
 พูดถึงฟิชแอนด์ชิฟ (Fish and Chip) มันคืออาหารอย่างนึง เป็นที่นิยมมากในอังกฤษ เป็นปลาชุบแป้งทอดเสิร์ฟคู่กับมันฝรั่งทอด ปลานั้นเป็นปลาทะเล แล่เอามาด้านนึงแล้วชุบแป้งทอด ร้านสเต๊กลุงหนวดในบ้านเรามี แต่ไม่อร่อยเท่า (ในความรู้สึกของผมนะ ฮ่า) ผมนี่กว่าจะได้กินอาหารยอดนิยมนี้ก็หลังจากวันนี้อีกเป็นเดือน ฮ่า (ไว้มาเล่า)
อีกมุมหนึ่งของ Albert Dock
ผมเดินทะลุช่องตึกออกมาอีกด้านนึง ตรงนี้ มีชิงช้าสวรรค์ ? (เรียกซะเป็นงานวัดเลย) ชื่อว่า The Wheel of Liverpool คือคล้ายๆกับลอนดอนอายส์ (ที่เป็นชิงช้าสำหรับชมเมืองในมุมสูงนั่นเอง) แต่อันนี้เล็กกว่า ฮ่า ที่ติดกันเป็น Echo Arena เอาไว้จัดคอนเสิร์ตใหญ่ๆหรืองานสำคัญ เช่น พิธีมอบรางวัลนักเตะของสโมสรลิเวอร์พูลในช่วงสิ้นฤดูกาล เป็นต้น 
The Wheel of Liverpool ด้านหลังคือ Echo Arena
ตรงนี้ยังมีอีกอย่างนึงคือ The Beatles Story ซึ่งเป็นสถานที่ที่เก็บเรื่องราวของวงดนตรี The Beatles เอาไว้ ใครที่เป็นสาวกของวงนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด วงดนตรีนี้ดังมากๆ มากจริงๆ (จากความรู้สึกที่อยู่ลิเวอร์พูล) ทุกคนดูจะร้องเพลงของ The Beatles ได้ หากใครอยากเริ่มฟัง แนะนำเพลง Yellow Submarine ! ฮ่า
ป้าย Albert Dock บอกว่ามีอะไรตรงนี้บ้าง
...................................................

มีเรื่องนึงที่ควรค่าแก่การบอกกล่าว ณ ที่นี้ หากยังจำกันได้ ผมเคยบอกว่า ในสมัยม.ปลาย (จริงๆคือ ม.6) หนังสือเรียนภาษาอังกฤษเล่มนึงได้เอาเรื่องของเมืองลิเวอร์พูลมาสอน มีบทหนึ่งว่าด้วยเรื่องของเพลงของวง The Beatles เพลงนั้นมีชื่อว่า when i'm 64 อาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษเอาเพลงนี้มาเปิด แล้วให้ทุกคนร้องตาม ผมชอบเพลงนี้มาก จำเพลงนี้เอาไว้ตลอด เวลาฟังเพลงนี้ทีไรมักจะนึกถึงอาจารย์คนนี้ทุกครั้ง อาจารย์เป็นคนที่สอนดีมาก แม้จะดูดุ แต่จริงๆแล้วจารย์ใจดีมาก แต่อาจารย์ท่านนี้นั้นก็ได้จากโลกนี้ไปแล้วด้วยโรคร้าย ซึ่งรุ่นผมเป็นรุ่นสุดท้ายที่ได้เรียนกับท่าน 

ผมอยากบอกกับอาจารย์ว่า จากการตั้งใจเรียนของผมและการเคี่ยวเข็ญของอาจารย์ ทำให้ผมได้มายืนอยู่ในเมืองที่เป็นผมใฝ่ฝัน และเป็นจุดกำเนิดของเพลงที่อาจารย์สอนแล้วครับ :)
................................................... 
รถขายไอติม น่ารัก :)

วิวของเมืองลิเวอร์พูลเมื่อมองจาก Albert Dock
กลับมาที่อัลเบิร์ต ด๊อก ตอนนั้นเวลาเกือบ ๆ 6 โมงเย็นแล้ว ผมตัดสินใจว่าน่าจะกลับที่พักสักที ระหว่างทางสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ฝนตก! ผมเพิ่งเข้าใจอากาศแบบอังกฤษว่าเป็นแบบนี้นี่เอง แม้ว่าอากาศจะหนาว ลมแรง แดดก็ยังแรงอยู่ มีเมฆนิดเดียว แต่ฝนก็ยังตกได้ ตกแป๊บเดียวก็หยุด เมฆหายไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 
ฝนตกลงมาซะงั้น แม้ว่าแดดจะเปรี้ยง

รุ้งหลังฝนกับวิวเมืองอีกด้านหนึ่ง
ผมเดินข้ามสะพานไปสู่ถนนอีกด้านหนึ่งของอัลเบิร์ต ด๊อก และนั่งพักสักครู่ ทบทวนชีวิตในวันนี้ และก็พบสัจธรรมว่า ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอนจริงๆ วันก่อนยังอยู่ไทยเอารถไปซ่อมแอร์ เมื่อวานแทบจะหลงทางอยู่กลางลอนดอน วันนี้มาเดินทอดน่องในลิเวอร์พูลเสียแล้ว คิดแล้วก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ว่า ขนาดวันแรกยังมีอะไรที่น่าดูชมมากมายขนาดนี้ แล้วอีก 99 วันจะขนาดไหน แล้วเรื่องดูบอลอีกล่ะ หูย แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วววว ฮ่าฮ่า
เก้าอี้นั่งชิลล์ๆ แถวๆ Albert Dock

ลงรูปตัวเองบ้าง เดี๋ยวจะหาว่าไม่ได้ไปเอง ฮ่าฮ่า
ผมเดินกลับหออย่างเร่งรีบ เพราะว่าเริ่มจะเย็นมากแล้ว ผมแวะร้านเทสโก้ ซื้อน้ำและขนมเอาไปกินบนห้องด้วยแป๊บนึง ผมเดินกลับไปทางเก่า ไม่นานนักก็มาโผล่บริเวณทางแยกที่จะมุ่งไปสู่หอของผม เมื่อมาถึงที่พัก อากาศก็เริ่มมืดพอดี

วันแรกของผมจบลงแล้ว และพรุ่งนี้จะเป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของผม
เพราะจะเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมได้ไปเหยียบแอนฟิลด์ !!!

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Liverpool ที่รัก 9: วันแรกในลิเวอร์พูล 3

คราวนี้ ผมเดินออกจากหอไปอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นคนละทางกับเมื่อเช้า ตอนนี้ประมาณบ่าย 3 โมง แดดแรงพอสมควร แต่อากาศเย็น มีลมพัดด้วย ผมเดินลัดเลาะไปตามถนนมุ่งหน้าไปสู่ทิศทางที่คาดว่าจะเป็นริมแม่น้ำ (ดูในแผนที่จากกูเกิลแมพมาก่อนออกจากห้อง )

ผมบอกคุณรึยังว่า เมืองลิเวอร์พูลนั้น ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำเมอร์ซี่ (Mersey River) ซึ่งเมืองลิเวอร์พูลหลักๆนั้นอยู่ด้านตะวันออกของแม่น้ำ (Liverpool Football Culb ก็อยู่ด้านนี้) ส่วนด้านตะวันตกนั้นเรียกว่า เบอร์เคนเฮด (birkenhead) ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของลิเวอร์พูลเช่นกัน รวมๆทั้งหมดนี้เรียกว่า Merseyside ซึ่งให้อารมณ์เป็นแบบมณฑลอะไรทำนองนั้น 

สมัยก่อนลิเวอร์พูลมีความเจริญมากเพราะว่าเป็นเมืองท่า สินค้าจากทั่วทุกมุมโลกจะมาขึ้นฝั่งที่นี่เป็นจำนวนมาก และที่นี่ก็เป็นจุดส่งออกสินค้าไปสู่ที่ต่างๆด้วยเช่นกัน เมืองลิเวอร์พูลจึงมีความเจริญเพราะเป็นเหมือนจุดศูนย์รวมสินค้าก่อนที่จะถูกส่งไปที่ต่างๆ คนในเมืองทำงานขายแรงงาน ทำงานเกี่ยวกับการขนสินค้าบ้าง ต่อเรือบ้าง เดินเรือบ้าง แต่ในปัจจุบัน การขนส่งแบบเดิมๆที่ใช้คนเคลื่อนย้ายนั้นไม่จำเป็นอีกแล้ว เพราะมีการพัฒนาการขนส่งแบบใส่ตู้คอนเทนเนอร์ขึ้นมา อีกทั้งสินค้าต่างๆก็ลดน้อยลง ดังนั้น หลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ลิเวอร์พูลก็ค่อยๆลดบทบาทของตัวเองลง 
..............................

ผมเดินไปตามถนน มองไปก็พบว่าบ้านเมืองแถบๆนี้นั้นดูค่อนข้างล้าสมัย บ้างสร้างด้วยอิฐสีส้มๆ มองดูเหมือนเป็นโกดังเก่าหรือที่เก็บของอะไรแบบนั้น ผมเดินไปถึงทางแยกหนึ่ง ต้องตัดสินใจว่าจะซ้าย ขวา หรือตรง ผมเลือกขวา เพราะว่าเห็นกังหันพลังงานลมอยู่ไกลๆ อยากไปเห็น (ฮ่า)

ยิ่งเดินยิ่งไกล มันจะพาไปไหนวะเนี่ย คนก็น้อย เริ่มรู้สึกเปลี่ยว ผมเลี้ยวซ้ายอีกครั้งแล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ มาโผล่ที่ถนนเส้นนึง เอาไงต่อดี พอดีมีคนเดินผ่านมา ผมเลยลองถามดู คราวนี้ก็ได้พบกับประสบการณ์ใหม่บางอย่าง

"ลุง ผมจะไปตรงริเว่อร์อ่ะ (How do I go to the river? ประมาณนี้) ไปไงบอกหน่อย

ลุงทำหน้าเอ๋อ แล้วก็ถามว่าจะไปไหนนะ ผมก็บอก ริเวอร์ ลุงก็ฮะๆๆ ผมก็ริเวอร์ๆๆ แกก็ยังดูงงๆอยู่ ผมเลยบอกว่า Mersey River อ่ะ แกก็อ๋อออออ แล้วก็บอกว่า River !

คือจริงๆแล้วมันต้องออกเสียงประมาณว่า "ริเฟว่อร์" -_- ฮ่าฮ่าฮ่า เพิ่งรู้ว่าภาษาอังกฤษมันไม่ง่ายนะจ๊ะ

ข้ามเรื่องริเฟว่อร์ไปเถอะ,,,แกก็อธิบายว่า คุณต้องเดินไปอีกทางนะ คุณเห็นตึกสูงๆนั่นมั้ย มองมันไว้ แล้วเดินไปหามันเลย สักพักคุณจะเห็นทางเดินเลียบริมแม่น้ำเองแหละ

ทางรถไฟเกาที่ยังคงเหลือร่องรอยอยู่ ด้านหน้าเป็นแม่น้ำ Mersey
ผมเดินตรงไปยังตึกนั่นตามที่ลุงบอก สักพักผมก็เริ่มมองเห็นถนนที่จะนำไปสู่ทางเดินริมแม่น้ำ เมื่อผมเดินไปถึง ผมก็ได้พบกับบรรยากาศของโกดังเก่าริมน้ำ มีหัวหมุดขนาดใหญ่ไว้ให้เรือเอาเชือกมาผูก มีร่องรอยทางรถไฟเก่าด้วย
น่าจะเป็นโกดังเก่า ตอนนี้เปลี่ยนเป็นอาคารใช้งานต่างๆ

หมุดที่เอาไว้คล้องเชือกผุกเรือ สนิมขึ้นเขรอะ
ผมเดินไปที่ริมแม่น้ำ ก็พบว่าแม่น้ำนั้นกว้างม๊าก น้ำมีสีขุ่นและคลื่นใหญ่ (ตามแรงลม) มีเรือแล่นบ้างบางคราว(เป็นเรือพาเที่ยวดูวิว ไว้จะมาเล่า)ฝั่งตรงข้ามก็มีร่องรอยของการเป็นสถานที่ขนถ่ายสินค้าด้วยเช่นกัน

การเดินริมแม่น้ำนี่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายใช้ได้เลย มีคนมาเดินเล่นบ้างแต่ไม่ค่อยเยอะ (อาจเป็นเพราะแดดยังแรงอยู่ หรือไม่ก็ยังไม่เลิกงาน ตอนนั้นประมาณ 4 โมงเย็นกว่าๆ ) ผมมองไปไกลๆเห็นตึกที่มีนกเหมือนกับสัญลักษณ์ของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลอยู่บนยอด ตอนนั้นยังเหลือเวลาอีกพอสมควรก่อนจะมืด เลยคิดว่าเดินไปดูซะหน่อยแล้วกัน ผมจึงเดินไปตามทางริมน้ำเพื่อไปให้ถึงตึกนั้น
ริมแม่น้ำ Mersey เรือที่เห็นคือเรือพาเที่ยวล่องแม่น้ำ สามารถพาไปอีกฝั่งซึ่งก็คือ Birkenhead ได้
ผมมาเจอกับอนุเสาวรีย์หนึ่งบริเวณท่าเรือ ผมเข้าไปอ่านก็พบว่า เป็นอนุเสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่คนงานที่ทำงานในห้องเครื่องของเรือไททานิค คุณรู้หรือไม่ว่า เรือไททานิคอันโด่งดังนั้น มีความเกี่ยวข้องกับลิเวอร์พูลอย่างหนึ่งคือ บริษัทที่เป็นเจ้าของเรือนั้นเป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในลิเวอร์พูล ดังนั้น จึงมีคนงานในเรือมากมายที่เป็นชาวเมืองลิเวอร์พูลเสียชีวิตจากโศกนาฎกรรมดังกล่าว น่าเศร้าจัง
อนุเสาวรีย์เพื่อระลึกถึงคนงานใน Engine Room ของเรือไททานิคที่เสียชีวิต
ถัดมาจากตรงนี้ ผมก็มายืนอยู่หน้าตึกที่มีนกลิเวอร์เบิร์ดอยู่ด้านบน (มี 2 ตัวเลยนะ)  ตึกนี้มีชื่อว่า Royal Liver Building สร้างเมื่อปี 1911 ซึ่งยังคงเปิดใช้งานอยู่  ตึกนี้นั้นถือว่าเป็น Landmark อย่างหนึ่งของลิเวอร์พูลเลย ใครที่มาลิเวอร์พูลก็ต้องมาถ่ายรูปกับตึกนี้ด้วยนะ ฮ่าฮ่า
ตึก Royal Building ส่วนอีก 2 ตึกที่ติดกันก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน มีชื่อว่า Cunard Building and Port of Liverpool Building
จริงๆแล้วบริเวณนี้เรียกว่า Pier Head (หัวท่าเรือ ?) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริเวณ Waterfront ของเมืองลิเวอร์พูล ตรงนี้มี Fab 4 cafe ซึ่งเกี่ยวข้องกับ The Beatles วงดนตรีชื่อดัง (ผมไม่อินมากเท่าไร ฮ่าฮ่า) และท่าเรือที่เรียกว่า Mersey Ferries ซึ่งถ้าจะนั่งเรือเที่ยวแม่น้ำก็ต้องมาขึ้นที่นี่ รวมถึง shop เล็กๆขายของที่ระลึกด้วย มีอนุเสาวรีย์ของพระเจ้า Edward XII ด้วย (สำคัญยังไงไม่แน่ใจ) นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นของกัปตันเรือที่ชื่อว่า J.Walker และกล้องดูดาวอันเบ่อเริ่มตั้งอยู่
ป้ายบ่งบอกว่าแถวๆนี้มีอะไรบ้าง
โดยรวมบริเวณนี้ถือเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ชิลล์มากทีเดียวในช่วงเย็น เพราะจะได้ยินเสียงนกร้อง  (ร้องทั้งวัน) ลมเย็นๆพัดมา (บางทีอาจยืนไม่อยู่) การซื้อกาแฟสักแก้วแล้วมองพระอาทิตย์ตกดินอย่างสบายใจ ก็เป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าอย่างนึง...แต่ทั้งหมดนั้นจะเกิดขึ้นภายใต้อากาศประมาณไม่เกิน 10 องศา (ในช่วงที่ผมไป) ยังไงก็ต้องทนหนาวกันหน่อย ผมนี่ น้ำมูกยืดตลอดเวลา ต้องซุกมือไว้ในกระเป๋าเสื้อทุกครั้งที่มีโอกาส

รูปปั้นกัปตันเรือ  J.Walker 

มีจักรยานให้ปั่นเล่นด้วยนะ แต่ไม่เคยลองเลย เพราะจ่ายค่าเช่ายังไงไม่รู้ ทำไม่เป็น ฮ่าฮ่า จักรยานแบบนี้มีอยู่ทั่วเมืองเลย สามารถปั่นจากที่นึงแล้วไปคืนอีกที่นึงก็ได้ เจ๋งดี
 จากป้ายแนะนำการท่องเที่ยวบ่งบอกว่ายังมีอะไรอีกหลายอย่างให้ดูชม ผมดูนาฬิกาแล้วก็พบว่าตอนนั้นประมาณ 5 โมงเย็น ใจนึงก็คิดว่าจะกลับเลยมั้ย อีกใจก็อยากดูแต่ก็กลัวจะกลับไม่ทัน (เพราะไกลจากหอพักพอสมควร ถ้ามืดแล้วอาจหลงทางได้ เพิ่งมาวันแรกเอง ฮ่า) 
แม่น้ำ Mersey ดูกว๊างกว้าง
เหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ อุ๊ย! กล้องมันลั่น (^^)
สุดท้ายความอยากก็ชนะ ผมเลือกเดินต่อไป...