วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Liverpool ที่รัก 11: วันที่ความฝันเป็นจริง

1 ตุลาคม 2557

ผมตื่นมา ดูนาฬิกาแล้วยังไม่แปดโมง ซึ่งผิดวิสัยคนอย่างผมมาก (ปกติตื่น 10 โมง ฮ่า) เรื่องของเรื่องคือผมยังไม่ชินกับเวลานัก พอตอนหัวค่ำก็ง่วงนอนเสียแล้ว อีกอย่างกลางคืนก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยนอนเร็ว ส่งผลให้ตื่นเช้า (จริงๆแล้วผมนอนไปประมาณ 10 ชั่วโมง ฮ่า)

ขอบอกว่าตอนกลางคืนนี่หนาวมาก ชุดนอนของผมคือใส่กางเกงวอร์มและเสื้อแขนยาว (มีเสื้อยืดข้างในอีกตัว) ใส่ถุงเท้าด้วย ผ้าห่มที่เค้าให้มานี่เหมือนผ้านวมที่ยัดนุ่นไม่เต็มอ่ะ มันเลยไม่ให้ความอบอุ่นขนาดนั้น ส่วนฮีทเตอร์ก็ตัดบ่อย (มันไม่ได้ทำงานทั้งคืน) ส่วนหน้าต่างผมก็แง้มไว้นิดๆ (ให้อากาศมันได้ระบาย เดี๋ยวขาดอากาศตายซะก่อน) ในช่วงนี้อุณหภูมิตอนกลางคืนก็ประมาณ 11-12 องศา ก็ถือว่าหนาวนะสำหรับคนไม่เคย เคยอยู่แต่อุณหภูมิ 30 องศาบวกเป็นปกติ (ฮ่า)

เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างแจ่มใส อากาศเย็นเช่นเคย แต่แดดดูแรงเลยทีเดียว บริเวณหอค่อนข้างเงียบสงบนะ นานๆทีถึงจะมีนักเรียนเดินออกไปจากหอ ซึ่งรูปข้างล่างนี่เป็นวิวที่มองจากหน้าต่างห้องของผม และนี่จะเป็นวิวที่ผมคุ้นเคยที่สุดตลอดการใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองลิเวอร์พูลแห่งนี้
วิวที่คุ้นเคย วันนี้แดดแรง
ตื่นมาได้สักพัก ผมก็ลงมือเขียนจดหมายที่ค้างอยู่จากเมื่อคืนให้เสร็จ คือผมสัญญากับแม่ไว้ว่าจะเขียนจดหมายมาหาหลังจากที่ไปถึงอังกฤษแล้ว ในจดหมายผมก็สาธยายความลำบากของการเดินทางให้แม่ฟัง (อ้อนนั่นเอง ฮ่าฮ่า) ผมเขียนเสร็จแล้วก็เอาใส่กระเป๋าพร้อมกับโปสการ์ดอีก 3 ใบ (สอยมาจากการเดินเที่ยวเมื่อวานนี้) เพื่อไปซื้อซองมาใส่ก่อนจะไปส่งที่ไปรษณีย์
จดหมายและโปสการ์ด เตรียมพร้อมส่งถึงแม่ ^^

ก่อนอื่น ผมจะแนะนำเพื่อนคนแรกที่นี่ให้รู้จัก เพื่อนผมคนนี้ชื่อว่า แปง เป็นคนไทยที่มาเรียนต่อที่นี่เพราะความชอบลิเวอร์พูลล้วนๆ (คล้ายๆผมเนี่ยแหละ ฮ่า) รุ่นราวคราวเดียวกับผม ผมได้รู้จักกับเค้าก็เพราะว่า เค้าเป็นคนขายตั๋วฟุตบอลของลิเวอร์พูล (ผมหาตั๋วได้ก็เพราะเค้านี่ล่ะ อิอิ) ซึ่งในวันนี้ เค้าจะพาผมไปซื้อซิมโทรศัพท์เพื่อเอาไว้ใช้เล่นเน็ทและโทรกลับไทยได้ด้วย และหลังจากนั้น เราจะไปแอนฟิลด์กัน

ผมนัดเจอกับเพื่อนบริเวณน้ำพุที่ Williamson Square (ที่ผมเคยมาแล้วเมื่อวันก่อน) ผมเพิ่งสังเกตุเห็นว่ามี Shop อย่างเป็นทางการของลิเวอร์พูลตั้งอยู่บริเวณนี้ด้วย (วันแรกที่มานั้นไม่ได้สังเกต ฮ่า) มองดูข้างนอกก็ดูเหมือนมีของขายเยอะอยู่นะ แต่วันนี้ยังไม่มีเวลาได้เข้าไปดู 
Shop อย่างเป็นทางการของลิเวอร์พูลแห่งหนึ่งในเมืองนี้
สักพักผมก็ได้เจอกับเพื่อน เราก็เลยเดินไปซื้อซิมกัน ระหว่างทางผมก็พบกับโชว์หนึ่ง ซึ่งเป็นโชว์แบบเปิดหมวก (คือแสดงให้คนดู คนดูจะบริจาคเงินให้หรือไม่ก็ได้) เป็นโชว์เกี่ยวกับการเต้น คือมี 2 คนเต้นถอดเสื้อ แล้วก็ใส่หน้ากากคนดัง จากนั้นก็เต้นตามเพลงทำท่าตลกๆอะไรประมาณนั้น เสียดายที่ผมจำไม่ได้ว่าหน้ากากนั้นคือใคร ถ้ารู้ว่าเป็นใครอาจจะฮากว่านี้ (ฮ่า) ผมเลยผ่านโชว์นี้ไป ไม่ได้ให้ตังค์ อิอิ
เต้นกันเข้าไป ถอดเสื้อด้วย ท้าความหนาวดีแท้
ผมและเพื่อนไปซื้อซิมที่ Shop แห่งหนึ่ง ซึ่งซิมที่ผมใช้นั้นเป็นของเครือข่าย EE (ในอังกฤษมีอยู่หลายเครือข่าย บางเครือข่ายแจกซิมฟรีด้วย แต่เพื่อนแนะนำอันนี้เพราะว่าเพื่อนใช้อยู่และค่อนข้างโอเค) โดยผมเลือกใช้โปรที่จ่าย 10 ปอนด์ อยู่ได้ 1 เดือน ส่ง massage  ได้ไม่จำกัด โทรฟรี 150 นาที และเล่นเน็ทได้ 500 Mb และสามารถโทรกลับไทยได้ในราคานาทีละ 3 p ( ประมาณ 1.50 บาท) 

ผมโทรกลับบ้านไปหาพ่อในทันที การโทรกลับไทยต้องกด +66 แทนเลข 0 นะ จากนั้นก็กดเบอร์มือถือปกติ พ่อรับสายแบบงงๆ พอรู้ว่าเป็นผมก็ดูตื่นเต้นมาก แน่ล่ะ ลูกโทรข้ามโลกมาหานี่นา (ฮ่า) คุยกันแป๊บนึงก็วางไปก่อน เพราะผมมีภาระกิจที่สำคัญต้องไปทำ อิอิ

ก่อนอื่น กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ต้องไปกินข้าวกันก่อน  เพื่อนผมพาไปร้านหนึ่งที่ชื่อว่า Big Bow ร้านนี้เป็นร้านที่ขายอาหารสไตล์เอเชีย แบบว่าข้าวหมูทอดไก่ทอด หรือข้าวมันไก่ก็มี ซึ่งจะเสิร์ฟในจานหรือชามที่ใหญ่มาก (จึงเป็นที่มาของชื่อร้าน) ผมสั่งอะไรสักอย่าง ลองจิ้มๆเลือกไป ปรากฏว่าได้ข้าวหมูทอดราดซอส (ประมาณนั้น) มันเยอะมากจริงๆ ขนาดผมเป็นคนกินจุ ยังต้องขอกล่องเค้าเอามาใส่ข้าว เก็บไว้กินมื้อเย็นต่อ (งกป่ะล่ะ ฮ่า) รสชาติอาหารก็ใช้ได้นะ ถูกปากชาวเอเชียอย่างเราๆ มื้อนี้โดนไปประมาณ 7 ปอนด์ ( ประมาณ 350 บาท)

ดูเหมือนว่าร้านนี้นั้น คนไทยทุกๆคนจะรู้จักกันดี หากคุณๆท่านๆได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองลิเวอร์พูล ลองไปตามหาร้านนี้ดู ร้านนี้อยู่แถวๆโบสต์ที่โดนระเบิด (Bomb Church) (ไว้จะเอารูปมาลง) เสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายรูปร้านเอาไว้ แต่รับรอง หาไม่ยาก

ผมบอกไว้ตอนต้นว่า เมื่อเช้าอากาศดีแดดแรงใช่มั้ย ตอนนี้ประมาณเที่ยง ปรากฏว่าเมฆเต็มฟ้า ฝนตกลงมาตลอดเวลา นี่แหละอากาศแบบอังกฤษ คุณจะไม่สามารถคาดเดาได้สักเท่าไรว่าอากาศจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวแดดออกเดี๋ยวลมแรงเดี๋ยวฝนตก ไม่แน่นอนจริงๆ ทางที่ดีคือควรติดตามสภาพอากาศอยู่ตลอดเวลา จะได้เตรียมตัวไว้พร้อมในระดับนึง

ผมสังเกตุเห็นความแปลกอย่างนึงคือ คนที่นี่ไม่ค่อยใช้ร่ม เค้ามักจะใส่เสื้อโค้ทที่หนาๆและกันฝนได้ หรือไม่ก็เป็นแบบฮู้ดที่มีหมวก เดินลุยดุ่ยๆกันกลางฝนแบบไม่กลัวเปียกเลย เหตุผลนึงอาจเป็นเพราะว่าฝนที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทย เป็นฝนเม็ดเล็ก บางทีก็คล้ายๆละอองน้ำ และมักตกไม่ค่อยนาน เดี๋ยวก็หยุด คนก็เลยไม่ค่อยใช้ร่ม เพราะคิดว่าชุดเปียกนิดเดียว เดี๋ยวก็คงแห้ง  

กินข้าวเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทางแล้ว การไปแอนฟิลด์นั้น ไปได้หลายทาง เพื่อนผมพานั่งรถเมลล์ โดยผมไปขึ้นรถเมลล์กันที่ Station ที่เรียกว่า Queen Square เป็นรถเมลล์ของบริษัท Arriva สาย 17 ค่ารถเมลล์ไปกลับ 3.8 ปอนด์ 

รถเมลล์สาย 17 วิ่งออกไปทางทิศเหนือของเมือง ลัดเลาะไปตามถนน จอดบ้างตามป้ายข้างทางเพียงไม่นานประมาณ 20 นาที ผมก็เห็นสนาม Anfield ของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลตั้งตะหง่านอยู่ตรงหน้า ความฝันของผมกำลังจะกลายเป็นจริง

และแล้ว ผมก็ได้มายืนอยู่หน้าสนามฟุตบอลของหนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก...

Anfield Stadium of Liverpool Football Club 

Welcome to ANFIELD STADIUM !!
Welcome to Liverpool Football Club !!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น