วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Liverpool ที่รัก 6: ประสบการณ์แรก

ครืดดดดดด !

ประตูรถไฟเปิดออกอย่างช้าๆ ผมก้าวลงจากรถไฟพร้อมกับสำภาระทั้งหมด ความรู้สึกแรกคือ ทำไมมันหนาวยังงี้วะ ขนาดมีเสื้อกันหนาวนะเนี่ย ผมเดินไปตัวก็สั่นไปเพราะความหนาว ผมเดินมาจนสุดทาง ก็เห็นครอบครัวชาวไทยที่เจอก่อนหน้านี้เลี้ยวไปทางขวา ผมจะเลี้ยวตามเค้าดีมั้ยนะ ?

ผมนึกขึ้นมาได้ว่า ในอีเมลล์ที่ทางมหาลัยส่งมานั้นได้บอกเอาไว้ว่า หากมาถึงที่สถานี Liverpool Lime Street แล้ว ให้คุณ Take a taxi (ที่อังกฤษเรียก Cap) ไปที่ที่พักที่เราเตรียมไว้ให้คุณได้เลย เพราะว่าอยู่ไม่ไกลมาก แท็กซี่น่าจะสะดวกที่สุด (คือมันก็ต้องเป็นยังงั้นแหละ ไม่ไปแท็กซี่จะให้ไปยังไง ไม่รู้เหนือรู้ใต้อะไรสักอย่าง ) ผมเลยมองหา ก็พบว่าทางด้านซ้ายของสถานีนั้น มีรถแท็กซี่มาจอดรอเต็มไปหมด มีคนกำลังเดินไปต่อคิวเรียกแท็กซี่หลายคนเหมือนกัน

ตอนแรกก็กังวลว่าจะมีแท็กซี่มั้ยนะ เพราะว่ามันดึกมาก (นาฬิกาบอกว่าเวลา 23.20 น.) พอมาเห็นจริงนี่ หูย เพียบ เพราะเค้าคงรู้แหละว่าจะต้องมีคนมากับรถไฟเที่ยวนี้หลายคนอยู่ ผมเดินไปต่อคิวสักพัก ก็มาถึงคิวผม แท็กซี่จอดเอี๊ยด คนขับเป็นคนหนุ่มๆ ผิวสีหัวเกรียนๆ สบตากัน ก็รู้ว่า ผมคงต้องขึ้นคันนี้แหละ ผมขึ้นแท็กซี่อย่างทุกลักทุเลเล็กน้อย เพราะของหนักมาก แถมคนขับก็ไม่มาช่วยอีก (เอาแต่มอง)

หากใครเคยเห็นแท็กซี่อังกฤษ ก็จะรู้ว่ามันไม่เหมือนที่ไทย คือที่นั่งคนขับกับคนโดยสารนี่แยกกันชัดเจน มีรูเพียงแค่ให้พูดกันได้ยินและจ่ายเงินทอนเงินได้เท่านั้น ซึ่งดูมีความปลอดภัยมาก เพราะผมก็กลัวมัน มันก็คงกลัวผมเช่นกัน ฮ่าฮ่า พอขึ้นนั่งไปเรียบร้อย มันก็ถามผมว่า จะไปไหนล่ะ ?

ผมตอบมันไปว่า" Liberty Atlantic Apartment  "มันพูดทันทีว่า ห๊ะ ? ผมเสียความมั่นใจทันที ตูว่าแล้วเชียว คิดว่าออกเสียงโอเคแล้วนะ แต่ไม่เป็นไร ผมรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ ผมเลยควักกระดาษให้มันแผ่นนึง เป็นกระดาษที่เขียนชื่อของที่พักให้มันอ่าน (ปริ้นเตรียมมาจากบ้าน ฮ่าฮ่า ) มันดูปุ๊บ ก็ โอเค ไปกันได้ !

ผมโล่งใจว่ามันรู้เรื่องแล้ว ฮ่าฮ่า จากนั้นรถก็แล่นออกไปจากสถานีรถไฟทันที ผมมองออกไปข้างนอกหน้าต่างก็พบว่า เมืองนี้เงียบมาก รถแทบจะไม่มีวิ่ง มีตึกห้างร้านต่างๆเยอะเหมือนกัน แต่ก็ดูเหมือนปิดกันหมดแล้ว ( 5 ทุ่มกว่าแล้วนิ) สิ่งที่เห็นอีกอย่างและจำได้แม่นเลยคือ หอคอยสูงๆกลางเมือง (มารู้ชื่อทีหลังว่าคือ Radio Tower) ผมมองอะไรไปเรื่อยอย่างตื่นเต้นตามประสาบ้านนอกไปยุโรป

ผมมีความรู้สึกเกิดขึ้น 2 อย่างระหว่างอยู่บนแท็กซี่ หนึ่งคือ ผมรู้สึกว่าเมืองนี้มันไม่ได้ราบเรียบเหมือนกรุงเทพหรือนนครปฐมไรงี้ มันมีเนินสูงต่ำด้วย เพราะผมรู้สึกได้ว่าแท็กซี่เดี๋ยวมันก็ขึ้นเนิน เดี๋ยวมันก็ลงเนิน ความรู้สึกอย่างที่สองคือ ผิดหวังนิดๆ เพราะคิดว่าเมืองมันอาจจะคล้ายๆกับในหนัง ที่มีกระท่อมเล็กๆ บ้านเรียงเป็นแผง มีต้นไม้เยอะๆ เป็นเมืองที่สวยงาม ให้บรรยากาศชนบทไรงี้ แต่ที่ไหนได้ มันก็เป็นเหมือนกับเมืองที่เจริญแล้วอื่นๆ มีตึกรูปร่างทันสมัย มีไฟติดตามถนนสว่างไสว สงสัยโลกของผมคงสวยเกินไป ฮ่าฮ่า

แท็กซี่ขับมาประมาณ 5 นาที ก็มาจอดที่หอพักแห่งหนึ่ง คนขับก็หันมาบอกว่า ถึงแล้ว ค่ารถ 6 ปอนด์นิดๆ ผมเลยแถมให้เป็น 7 ปอนด์ บอกเป็นทิป (อ่านในหนังสือมาเค้าบอกต้องให้นิดนึง) ผมลากกระเป๋าเดินไปที่ป้อมยาม ยามตัวใหญ่ๆ 2 คนก็มองมาทันที ผมก็เลยตะโกนออกไปว่า

" I come from Thailand"
.............................................

ยามกวักมือเรียกให้เข้าไป ประตูอัติโนมัติเปิดออกทันที ผมลากกระเป๋าเข้าไปที่ป้อมยาม ตอนนั้นเที่ยงคืนละ ยามคนนึงโผล่หน้ามาถามว่า มีเอกสารอะไรมามั้ย ผมก็เลยเปิดกระเป๋า แล้วเอาจดหมายจากทางมหาลัยยื่นให้เค้าดู เค้ารับไปแล้วก็บอกว่ารอแป๊บนึง

ผมยืนหนาวสั่นอยู่หน้าป้อมยาม ในความรู้สึกที่หิว ง่วง เหนื่อย ล้าเต็มที ประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ก็เท่ากับ 6 โมงเช้านิดๆในไทย (ตอนนั้นเวลาอังกฤษช้ากว่าที่ไทย 6 ชม.) เมื่อเช้าตื่นมาตอน 6 โมง ก็หมายความว่าแทบไม่ได้นอนเลย (งีบไปแป๊บบนเครื่องบินและบนรถไฟ) มองดูหอแล้วก็ดูเหมือนอพาร์ทเม้นท์ทั่วไป ดูแล้วก็น่าจะอยู่สบายดี

เจ้าหน้าที่นั่งเสิร์ชข้อมูลหน้าคอมพ์นานเป็นชาติ เหมือนว่าจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง พี่แกเดินมาถามเพิ่มว่า คุณมีเอกสารอื่นมั้ย ในอีเมลล์ไรงี้ ผมก็ตอบไปว่า มีแค่อันนี้อันเดียวอ่ะ แกก็เลยกลับไปเช็คข้อมูลต่อ สักพักนึกแกก็เดินออกมาพร้อมยามผู้ช่วย แล้วมาบอกกับผมว่า เราไม่มีข้อมูลการจองของคุณเลย (อ้าวฉิบหาย) เราตรวจดูหมดแล้ว เอาไงดีล่ะ ตอนนี้ใน Office ก็ไม่มีใครอยู่ซะด้วยสิ (จะให้นอนข้างถนนไง ? ) เอางี้แล้วกัน เฮ้! นายน่ะ (หันไปหายามอีกคน) ช่วยพาเค้าไปที่ตึกนั่นก่อนก็แล้วกัน (ชี้ไปข้างหน้า)

ผมก็เดินตามยามคนนั้นไป เค้าพาขึ้นไปที่ชั้น 2 แล้วบอกให้ผมรออยู่ตรงทางเดินนี่ก่อน เค้าเดินไปตามเพื่อนมาอีกคน สักพัก เค้าทั้งคู่ก็ไขกุญแจเข้าไปในห้องนึง แล้วทำการย้ายของหลายอย่างออกมา ผมเห็นทั้งชั้นหนังสือ กองผ้า หมอน อะไรจิปาถะ ขนออกไปไว้อีกห้องนึง แล้วก็เอาผ้าห่มเข้าไปในห้อง

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย แกก็เดินมาบอกว่า ยู คืนนี้คงต้องนอนที่นี่ก่อน ไม่มีไรมาก (เข้าไปดูมีแค่เตียงกับผ้าห่ม) เอาแค่นอนพักก่อน แล้วพรุ่งนี้ตอนเช้าก่อน 8 โมง ย้ำกว่าก่อน 8 โมงนะ (ไม่รู้ย้ำทำไม) ก็ค่อยลงไปคุยกับเจ้าหน้าที่ในออฟฟิศอีกรอบ ไม่ต้องรื้อของออกมาล่ะ อย่าลืมนะ ก่อน 8 โมง (รู้แล้วโว้ย)

ผมเดินเข้าห้องไป ภายในห้องไม่มีไรมากจริงๆ เหมือนเป็นห้องที่เอาไว้เก็บของ เพราะไม่มีคนอยู่

ห้องสำหรับซุกหัวนอนให้ผ่านคืนนี้ไปก่อน
ผมถอดรองเท้าที่อับมาทั้งวัน วางของนู่นนี่ สำรวจรอบๆห้อง แล้วมานั่งพักสักครู่ นึกในใจว่า ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ ถึงจะลำบาก แต่ตูได้มาถึงลิเวอร์พูลแล้วเว้ย มีที่นอนด้วย

เตียงนอนในคืนนี้ ให้ความรู้สึกบ้านๆชอบกล
ผมอยากจะหลับไปในทันที แต่ก็ต้องถอดคอนแท็คเลนส์ก่อน แล้วก็ล้างหน้า แปรงฟันสักนิด เช็ดหน้าเช็ดตาให้สดชื่น ดูเวลาอีกที เฮ้ย ตี 1 กว่าแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่ตื่น มันยิ่งย้ำๆให้ลงไปก่อน 8 โมงด้วย ไม่รู้จะมีอะไร ?

ผมกดตั้งนาฬิกาไว้ที่ 7 โมง ปิดไฟ แล้วผมก็หลับไป.....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น