วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Liverpool ที่รัก 8: วันแรกในลิเวอร์พูล 2

ผมเดินเข้ามาในสถานีรถไฟที่ผมมาถึงเมื่อคืนนี้ ก็พบว่าสถานีรถไฟนี้ใหญ่ดีนะ มีคนกำลังเดินผ่านไปผ่านมาหลากหลายเชื้อชาติ (อาจมาเที่ยวมั้งไม่ก็มาดูบอล ฮ่า) ผมเหลือบไปเห็นตู้ขายแผนที่อัติโนมัติ ด้วยความอยาก เลยลองหยอดเหรียญลงไปเลย 1 ปอนด์ กดๆแป๊บนึง แผนที่ก็ออกมา ผมลองเอาแผนที่มาเปิดดู สิ่งแรกที่มองหาคือ สนามบอล Anfield อยู่ไหนวะ ปรากฏว่าไม่มีบนแผนที่ (เพราะว่าแผนที่นี้แสดงแต่ในตัวเมือง แต่สนาม Anfield ต้องออกไปนอกเมืองนิดนึง) เซ็งเลย

ผมเลยทำทีเดินเข้าไปถามศูนย์ Information ของสถานีรถไฟว่า สนาม Anfield มันอยู่ไกลมั้ย เจ้าหน้าที่ก็บอกกว่าอยู่ออกไปนอกเมือง ผมก็เลยถามว่าถ้าจะเดินไปนี่ได้มั้ย พี่แกตอบทันทีว่า NO มันไกล คุณควรนั่ง Taxi หรือขึ้นรถเมลล์ดีกว่า ผมฟังเค้าแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าสนามมันอยู่ตรงไหน งั้นปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน

สถานีรถไฟ Liverpool Lime Street

รูปปั้นของสองผู้ยิ่งใหญ่ (ไม่เกี่ยวกับฟุตบอล ฮ่าฮ่า)

แผนที่ของเมือง Liverpool ปกหลังเป็นรูปฟิลิปเป้ คูตินโญ่
ผมลองเดินสำรวจร้านขายของบริเวณนั้น ก็ได้ของมา 2-3 อย่าง ได้โปสการ์ดกับหนังสือภาพเมืองลิเวอร์พูลด้วย (จริงๆอยากได้มากกว่านี้แต่ต้องอดใจไว้ก่อน บอกตัวเองว่ายังอยู่อีกนาน เดี๋ยวตังค์หมด ฮ่าฮ่า) ผมซื้อของกินอย่างแรกคือข้าวไก่ชุบแป้งทอด และนมอีกขวดนึง จากนั้นก็เดินไปซื้อของใช้ที่ศูนย์การค้าใจกลางเมือง ซึ่งก็ตามที่เค้าบอก คือมีร้านค้าเยอะมาก มีของให้เลือกหลายหลาย อารมณ์ร้านค้าก็แบบโลตัสบิ๊กซีบ้านเรา เพียงแต่ไม่เปิดแอร์ (เปิดฮีทเตอร์แทน) ผมสอยของที่ต้องการมาได้ครบแล้ว ผมก็เดินมั่วๆมาโผล่ที่จตุรัสที่เค้าเรียกว่า Williamson Square ซึ่งอยู่ติดกับ Radio Tower

ข้าวกับนมที่กะกินเป็นมื้อแรกที่อังกฤษ

จริงๆแล้วกินอันนี้เป็นมื้อแรก ราคา 1.8 ปอนด์ (ประมาณ 90 บาท!!)
บริเวณนี้มีที่นั่งให้นั่งพักผ่อนสบายๆ มีน้ำพุให้ดู และมีร้านขายของเล็กๆ อยู่หลายร้าน รวมถึง Shop ของลิเวอร์พูลอย่างเป็นทางการก็อยู่ที่นี่แห่งนึงด้วย แล้วก็มีร้านของคนทั่วไปที่ขายของเกี่ยวกับลิเวอร์พูลตั้งอยู่ด้วยเช่นกัน

บรรยากาศบริเวณ Williamson Square

ร้านขายของลิเวอร์พูลของคนท้องถิ่น ได้แต่เดินไปเมียงๆมองไว้ก่อน ยังไม่ซื้อ ฮ่าฮ่า
ผมนั่งซัดไส้กรอกจนหมด โยนเศษขนมปังให้นกไปหน่อยนึง (บอกตรงๆว่าไม่ค่อยถูกปากสักเท่าไร) นั่งดูน้ำพุที่พุ่งขึ้นมาเป็นระยะๆ มีเด็กเข้าไปเล่นน้ำพุบ้าง ที่นี่มีเสียงนกร้องให้ได้ยินตลอดเวลา อาจเป็นเพราะว่าเมืองอยู่ริมแม่น้ำและใกล้ทะเล ทำให้มีนกน้ำมาอาศัยอยู่เยอะ (ไม่ใช่เป็ดนะโว้ย)

นั่งนานๆก็รู้สึกหนาวๆ แม้ว่าจะเกือบเที่ยงแล้ว (ยังไม่ชินกับอากาศสักเท่าไร) ก็คิดว่าเดินกลับหอดีกว่า ผมก็หิ้วทุกอย่างกลับมาที่หอ ซึ่งทำให้ผมได้รู้ว่า หอกับใจกลางเมืองนี้ห่างกันประมาณ 1 กิโล หากผมจะมาซื้อของหรือทำธุระ ก็คือต้องเดินไปกลับ 2 กิโลเสมอๆ อาจดูไกลแต่ก็เดินได้นะ เพราะอากาศมันเย็นๆ เหงื่อไม่ค่อยออก ไม่เหมือนเมืองไทยที่ร้อนตับแลบ แค่ยืนเฉยๆเหงื่อก็ออกแล้ว

กลับมาถึงห้องก็พบว่าหมอนกับผ้าห่มยังไม่มาส่ง เลยลงไปวีน (วันแรกก็วีนเลย ฮ่า) ถามที่ออฟฟิศว่ายังไม่เอาหมอนกับผ้าห่มมาให้อีกเหรอ เค้าก็ทำหน้าตกใจ แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวจะรีบบอกแม่บ้านให้เลยค่ะ ผมบอกให้ไวเลย เดี๋ยวคืนนี้หนาวตาย (ฮ่า)

ผมกลับมาจัดของที่ห้องอีกรอบ เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทาง ก็ได้เวลาอาบน้ำ (ไม่ได้อาบน้ำมา 1 วันกับอีกครึ่งวัน ฮ่า) ผมล้างหน้าที่อ่างอาบน้ำ ขอบอกว่าน้ำก๊อกร้อนมากๆ ควันขึ้นเลย  น้ำเย็นมึงก็เย็นเจี๊ยบ ไม่มีความพอดี ( วันรุ่งขึ้นเลยตัดสินใจซื้อขัน เอาไว้ผสมน้ำร้อนน้ำเย็น ให้มันอุ่นพอดี จะได้ล้างหน้าได้ ไทยสไตล์ป่ะล่ะ ฮ่าฮ่า) ส่วนน้ำฝักบัวอุ่นกำลังดี ไม่มีปัญหาอะไร

ปัญหาอย่างเดียวคือเวลาอาบน้ำเสร็จต้องรีบเช็ดตัวให้แห้งแล้วรีบใส่เสื้อผ้า เพราะมันหนาวมากๆ (ผมขี้หนาว) อากาศเย็นๆมันจะซึมเข้ามาในห้อง เพราะผมต้องแง้มหน้าต่างไว้นิดนึง ไม่งั้นอึดอัด แป้งเย็นนี่ไม่ต้องทาโยนทิ้งถังขยะได้เลย

นอนเล่นอยู่ที่ห้องสักพักนึง ก็รู้สึกเบื่อๆ อยากหาไรทำ นึกขึ้นได้ว่าเมืองนี้ติดแม่น้ำนี่นา น่าจะมีอะไรดีๆให้ดูนะ เลยลุกขึ้นแต่งตัว คราวนี้เอากล้องถ่ายรูปไปด้วย (รอบแรกที่ไปซื้อของเอาไปแค่มือถือ) จะได้ถ่ายรูปให้มันส์ไปเลย

วันนี้ของผมยังไม่จบนะคร้าบบ....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น