วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Liverpool ที่รัก 4: บนเครื่องบิน

ผมเป็นคนกลัวเครื่องบิน

ครั้งแรกของการขึ้นเครื่องบินคือตอนไปเวียดนามกับคณะอาจารย์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 คือผมคิดเสมอว่าการอยู่บนเครื่องบิน คือการที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย คุณจะไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากนั่งรอความตาย (นอกเสียจากว่าคุณมีปีกและพร้อมจะบินเมื่อเกิดอุบัติเหตุ) ขณะที่อยู่บนเครื่องบิน ผมก็เลยพยายามทำใจให้มันสงบๆ ไม่คิดมาก ไม่ฟุ้งซ่าน พยายามทำตัวให้เป็นปกติ (แม้ว่าตอนเครื่องขึ้นจะจิกเบาะจนแทบจะขาดก็ตาม)

เมื่อเครื่องเทคออฟออกจากรันเวย์ ล่องลอยบนท้องฟ้า ผมก็นั่งพักสักครู่ แล้วก็นึกถึงความจริงที่ว่า อีกตั้ง 12 ชั่วโมง ผมถึงจะพบว่าตัวเองยืนอยู่กลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ช่างเป็นเวลาที่ยาวนานจริงๆ ต้องนั่งหลังแข็งอย่างนี้ตลอดทางเลยป่าวเนี่ย คงเมื่อยแย่ หาอะไรทำดีกว่า

โชคร้ายที่ผมไม่ได้นั่งติดหน้าต่าง เลยไม่สามารถดูวิวได้ ถึงจะนั่งติดหน้าต่าง ผมก็คงไม่กล้าเปิดม่านดูวิวอยู่ดี (คนข้างๆคงจะตบกบาลเอา ทำแสงเข้า กูจะนอน -_-) ชั่งมัน ผมเริ่มเล่นสนุกกับหน้าจอเล็กๆที่มีไว้ให้ดูหนังฟังเพลง ผมก็กดมันเล่นไปเรื่อยๆ เอาล่ะเจอหนังแล้ว ดูซะหน่อยดีกว่า.......
ปัญหาคือ ที่เสียบหูฟังมันอยู่รูไหนวะ มองไปข้างๆมันก็นอนกันหมด ไม่มีใครดูจอกันบ้างเลย จะถามใครก็เขิล เดี๋ยวจะหาว่าบ้านนอก (จริงๆก็บ้านนอก) ก็เลยตัดใจ เอาวะ ดูมันแบบเงียบๆนี่แหละ ฮ่าฮ่า เป็นการดูหนังแบบใหม่โว้ย ใครจะทำไม

ดูหนังไปครึ่งเรื่อง เจ๊คนข้างๆก็ตื่น แล้วหยิบหูฟังมาใส่....
จากนั้นผมก็ได้ดูหนังแบบที่ชาวบ้านเค้าดูกันซะที -_-
................................

เวลาผ่านไปช้ายังกับเต่าคลาน ลองเดินไปเข้าห้องน้ำบ้างดีกว่า เดินไปถึงห้องน้ำมีคนต่อคิวหลายคนเหมือนกัน รอสักพักก็ได้เข้าไป พอปิดประตูปุ๊บ ก็ยืนสำรวจอยู่แป๊บนึง
อืมมมมม ห้องน้ำบนเครื่องบินเป็นแบบนี้เองเหรอ ห้องแคบจัง โถก็ดูเล็กๆนะ กระดาษอะไรเนี่ยกระจุยกระจายไปหมด ก๊อกน้ำเปิดยังไงหว่า ? บลา บลา บลา... ยกกล้องมาถ่ายรูปเก็บไว้ดีกว่า อิอิ

โถส้วมบนเครื่องบิน 
อ่างล้างมือ มีแบบน้ำร้อนน้ำเย็น

อย่ากระนั่นเลย ขี้มันเลยดีกว่า จะได้ชื่อว่าได้ขี้กลางอากาศ ฮ่าฮ่าฮ่า
..................................

ดูหนังจนเบื่อ เหลืออีกเกือบๆครึ่งทางกว่าจะถึง ผมก็เริ่มจะง่วงซะแล้วสิ ไม่ง่วงได้ไง นอนก็น้อย ตื่นก็เช้า แถมยังต้องเดินทางอีก ว่าแล้วก็อยากจะหลับสักหน่อย แต่เบาะมันก็ตรงซะเหลือเกิน ปรับเบาะยังไงเนี่ย เอ๊า เจ๊คนข้างๆหลับอีกละ เวรกรรม นอนมันแบบนี้ละกัน ยังไม่ทันจะได้หลับดี อาหารบนเครื่องบินก็มาเสิร์ฟ จำไม่ค่อยได้ว่ามันคืออะไร จำได้แต่ว่าจ้วงเอาๆเพราะหิวมาก แต่ก็ยังแอบเก็บขนมปังใส่กระเป๋าเอาไว้กินเวลาหิวในภายภาคหน้าอีกด้วย พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน ผมก็เริ่มหลับไป....

หลับไปสักชั่วโมงนึงมั้ง มันก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะว่ามันไม่สบายอ่ะ เมื่อยมากๆ เจ๊ข้างๆ (ตื่นแล้ว) ก็หันมาคุยด้วย ถามนู่นนี่กันเล็กน้อย ก็ได้ใจความว่า (เจ๊เป็นคนไทย) เจ๊เค้าจะมาอยู่กับสามีที่ลอนดอน เหมือนประมาณว่ารักกัน เคยอยู่ด้วยกันที่อังกฤษ แต่เจ๊ต้องกลับมาที่เมืองไทย บ้านอยู่แถวๆภาคอีสาน แล้วครั้งนี้คือแฟนเค้าจะให้มาอยู่ด้วยกันตลอดไปเลย เจ๊ก็บ่นๆว่าไม่รู้ว่าจะอยู่ได้มั้ย ยังไงมันก็ไม่ใช่บ้านเรา  เจ๊ชวนคุยอีกสักพักก็บอกว่า ถ้าจะนอนก็ปรับเบาะตรงนี้นะ จะได้นอนสบายๆ,,,โหเจ๊นี่ใจดีจริงๆ รู้ด้วยว่าตูนอนเมื่อยมาเป็นชั่วโมงละ ดีนะไม่บอกตอนถึงลอนดอนแล้ว (แซวเล่น จริงๆต้องขอบคุณเจ๊มากๆ)
..........................................................

และแล้ว เครื่องก็แลนดิ้งที่สนามบินฮีทโธรว์ เทอมินอล 5 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ขณะนั้นเวลาที่อังกฤษคือ 17.45 น. หรือก็คือเกือบๆ 6 โมงเย็น เทียบเป็นเวลาไทยก็เกือบๆเที่ยงคืนละ

ภาพแรกของกรุงลอนดอน สนามบินฮีทโธรว์
ลืมบอกไปว่า ทางมหาลัยที่ลิเวอร์พูลส่งอีเมลล์มาบอกว่า คุณต้องเดินทางไปที่ที่พักในเมืองลิเวอร์พูลเองนะจ๊ะ มันไม่ยากมาก (บ้านคุณท่านสิ) ผมจึงต้องค้นหาข้อมูลการเดินทางเอง ซึ่ง ตามแผนที่คิดไว้มาจากบ้าน ก็คือจะต้องออกจากสนามบินให้เร็วที่สุด จากนั้นนั่งรถไฟใต้ดิน (ที่อังกฤษเรียก Tube) ไปลงที่สถานี Euston station แล้วต่อรถไฟยาวไปถึงเมืองลิเวอร์พูล....

แต่ชีวิตมันไม่ง่ายแบบนั้นแน่นอน ตูงงตั้งแต่จะไปผ่านด่านตม.ละ สนามบินมันกว้างม๊าก แถมเพิ่งจะเคยมาเป็นครั้งแรก โชคดีว่าทำบุญมาเยอะ เจ๊คนที่นั่งข้างๆเค้าวิ่งมาพอดี แล้วก็บอกว่า ป่ะ ไปด้วยกัน เดี๋ยวเจ๊พาออกไป เจ๊เคยมาแล้วครั้งนึงพอจำได้อยู่ นั่นละถึงได้รอดออกจากด่านได้

แล้วก็มาถึงเรื่องของรถไฟใต้ดิน คิดในใจว่าขนาดจะออกจากสนามบินยังเอาตัวแทบไม่รอด เอาวะ เลิกหยิ่ง ลองถามเจ๊เค้าก็แล้วกันเผื่อเค้ารู้ ก็เลยลองถามเจ๊เค้าไป เจ๊เค้าบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน (อ้าวเวรกรรม) แต่กรุงศรีอยุธยายังไม่สิ้นคนดี เค้าก็คิดนิดนึง แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวเค้าจะลองถามสามีเค้าที่เป็นคนอังกฤษให้ เค้าก็คุยกับสามีเค้าโช้งเช้งๆกันแป๊บนึง เค้าก็บอกว่า สามีเค้าก็ไม่รู้เหมือนกันกัน (กรรมของเวร) แต่สามีเค้าจะพาไปถามและจะซื้อตั๋วให้ (เย้!)

สุดท้าย เค้าพาเดินไปที่เคาเตอร์จำหน่ายตั๋ว ซื้อตั๋วให้ และบอกสถานที่ที่ต้องไปต่อ คือเค้าให้นั่งรถไฟไปลงที่สถานีคิงส์ครอส (King's Cross station) และหาชานชาลาที่ 9 เศษ 3 ส่วน 4 ถุยย ! ไม่ใช่แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ ไปคิงส์ครอสน่ะถูกแล้ว แต่ให้เดินไปที่ Euston Station เพราะมันใกล้กัน จากนั้นก็ค่อยขึ้นรถไฟไปเมืองลิเวอร์พูล ผมก็ได้แต่รับฟังและคิดว่าคงไม่พลาดอะไรไปนะ ไม่งั้นได้นอนข้างถนนแน่ๆ,,,เค้าพาผมไปส่งถึงประตูรถไฟใต้ดินเลย ช่วยเข็นกระเป๋าใบใหญ่อีก 2 ใบให้ด้วย ช่างน้ำใจงามนัก

ผมต้องขอขอบคุณ 2 คนนี้เป็นอย่างมากเลย ที่ทำให้ผมรู้ว่าน้ำใจของคนไทยนั้นมีอยู่ทุกที่ หากเจ๊ได้มาอ่านบล็อกของผมก็โปรดรู้ไว้ด้วยว่าผมซาบซึ้งใจมากๆ และอยากขอบคุณเจ๊ด้วยตัวเองอีกสักครั้ง ว่าแต่ตอนนี้เจ๊อยู่หนใด ?
...............................................

ผมก้าวเท้าขึ้นไปบนรถไฟใต้ดินสายสีน้ำเงินที่จะวิ่งไปสู่สถานีคิงส์ครอส
และคราวนี้ ไม่มีใครอีกแล้วที่จะช่วยผมได้...นอกจากตัวเอง

ตั๋วรถไฟใต้ดิน เดินทางจาก Heatrow Terminal 5 ไปลงที่ King's cross station

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น